เราสามารถโอนรถยนต์ข้ามจังหวัดได้หรือไม่ มีวิธีการอย่างไร 

เราสามารถโอนรถยนต์ข้ามจังหวัดได้หรือไม่ มีวิธีการอย่างไร 

สำหรับท่านใดที่ยังไม่ทราบว่าการโอนรถข้ามจังหวัดคืออะไร การโอนรถข้ามจังหวัดก็คือการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในการครอบครองความเป็นเจ้าของรถจากอีกคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยทั้ง 2 คน มีที่อยู่คนละจังหวัดกัน ซึ่งอาจมีหลายท่านที่สงสัยว่า เราสามารถโอนรถยนต์ข้ามจังหวัดได้หรือไม่ มีวิธีการอย่างไร ซึ่งการโอนรถข้ามจังหวัดสามารถทำได้กับรถยนต์ทุกชนิด สามารถโอนข้ามจังหวัดได้ไม่ว่าจะผ่านการโอนในรูปแบบโอนลอยหรือโอนแบบปกติโดยตรง ส่วนจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง วันนี้เราจะพาทุกท่านไปหาคำตอบกันครับ การโอนรถคืออะไร ในรถยนต์แต่ละคันเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าและอาจเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้อื่นได้หากใช้งานด้วยความประมาท เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจดกรรมสิทธิ์ผู้ครอบครองรถยนต์เพื่อให้เป็นหลักฐานชัดเจน ซึ่งรถยนต์ก็ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ในทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนมือเจ้าของ โดยการโอนรถปกติภายในจังหวัดก็สามารถเดินทางไปติดต่อที่สำนักงานขนส่งใกล้บ้านท่านได้โดยจะใช้เวลาทำการไม่เกิน 15 วัน แต่หากเป็นการโอนรถยนต์ข้ามจังหวัดจะมีวิธีการและการเตรียมเอกสารทที่ต่างออกไปเล็กน้อยดังนี้  เอกสารที่ต้องใช้ในการโอนรถยนต์ข้ามจังหวัด ในวันแรกยังไม่ต้องนำรถด้วยก็ได้ให้นำเอกสารไปยื่นก่อนแล้ว โดยจะมีเอกสารทั้งหมดดังนี้ สำเนาเล่มทะเบียนรถ สำเนาทะเบียนบ้านผู้โอน และผู้รับโอน สำเนาบัตรประชาชนผู้โอน และผู้รับโอน หนังสือมอบอำนาจ แบบฟอร์มการโอนรถ และการรับโอน  สำเนาแต่ละฉบับต้องมีลายเซ็นปากกาสำเนาถูกต้องชัดเจน ของทั้งผู้โอนและผู้รับ รวมถึงลายเซ็นของผู้รับ ทับในหนังสือมอบอำนาจและในแบบฟอร์มการโอนให้ชัดเจนครบถ้วน ในกรณีโอนลอย ที่คนใดคนหนึ่งไม่ได้มาด้วย  โดยเอกสารทั้งหมดจะใช้อย่างน้อย 3 ชุด ให้เตรียมเผื่อไปให้ดี ขั้นตอนการโอนรถยนต์ข้ามจังหวัด สำหรับขั้นตอนในการโอนข้ามจังหวัดไม่ว่าคุณจะโอนจากที่กรุงเทพไปต่างจังหวัด หรือ จากต่างจังหวัดมาที่กรุงเทพ จะใช้ขั้นตอนและวิธีการดำเนินการแบบเดียวกัน และใช้เอกสารเหมือนกัน เริ่มจากขั้นตอนแรกคือ  เตรีนมเอกสาร ที่กล่าวไว้ด้านบนให้เรียบร้อย และตรวจเช็คให้ดี ทางที่ดีที่สุดควรมีชุดสำรองในกรณี […]

รถยนต์สีขาวต้องดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เกิดการเหลืองซีด

รถยนต์สีขาวต้องดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เกิดการเหลืองซีด

เชื่อว่าสีขาวเป็นสียอดฮิตที่ถูกโฉลกกับผู้ใช้งานไหนหลายๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเสริมดวงต่างๆ หรือความสวยงามที่สะอาดตา เป็นสีพื้นที่มีเสน่ห์ตกแต่งง่ายและเป็นที่นิยมของผู้ใช้งานสำหรับในทุกเพศและทุกวัย ซึ่งรถสีขาวนี้ก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นกันหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีและถูกวิธี โดยในวันนี้เรามีข้อแนะนำดีๆสำหรับท่านที่อยากรู้ว่า รถยนต์สีขาวต้องดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เกิดการเหลืองซีด  ซึ่งแน่นอนว่าความสะอาดสวยงามของสีขาวนั้นก็เป็นสีที่เวลามีล่องลอยหรือมีตำหนิจะเห็นได้ขัดเจนมากุขึ้น และสำหรับผู้ที่เคยใช้งานรถยนต์สีขาวไปนานๆก็คงต้องเคยพบเจอกับอาการสีขาวของรถยนต์ซีดเหลืองซึ่งหลายท่านก็อาจจะคิดว่าเกิดจากระยะกาลเวลา แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด เพราะอย่างในรถที่ได้รับเก็บรักษาอยู่ในที่ปิดหรือรถที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีกลับไม่หมองคล้ำเท่ากับรถของเรา หากเราต้องใช้งานในทุกวันล่ะซื้อรถยนต์สีขาวมาแล้วก็อยากให้รถดูใหม่สวยงามอยู่ตลอด จะต้องทำอย่างไร เราไปดูพร้อมๆกันเลยครับ  วิธีการดูแลรักษารถยนต์สีขาวไม่ให้หมองเหลือง ล้างรถเป็นประจำ การล้างรถเป็นประจำช่วยได้อย่างแน่นอนหากล้างรถ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง ถ้าใช้งานบ่อยล้าง สัปดาห์ละครั้งยิ่งดี เพราะเราจะสามารถเห็นคราบสกปรกและรอยผิดปกติได้ในเวลาที่ล้างรถ รวมถึงยังจะทำให้รถยนต์ของเราสะอาดและสวยใหม่อยู่ตลอดเวลา  เช็ดรถให้แห้งตลอดเวลา หลังการใช้งานทุกครั้งควรจะเช็ดทำความสะอาดรถยนต์ให้แห้งและไร้คราบสกปรกออกให้หมดก่อน หากถามว่าในเมื่อล้างทุกสัปดาห์แล้วยังต้องเช็ดทุกครั้งด้วยเลยเหรอ ? ใช่ครับเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะคราบสกปกหรือคราบน้ำเราเจอได้ทุกวันในระหว่างการใช้งานหากเราปล่อยคราบเหล่านี้ติดนาน จะทำให้ล้างออกยากและส่งผลให้รถยนต์หมองคล้ำจนอาจกลายเป็นคราบเหลืองได้ในที่สุด   ไม่ควรจอดรถกลางแจ้ง การจอดรถกลางแจ้งเป็นการทำร้ายสีรถยนต์ของคุณโดยตรงยิ่งการจอดเป็นระยะเวลานานล่ะก็ต้องส่งผลให้สีรถยนต์ของคุณหมองซีดได้ เพราะแสงแดด ยิ่งในพื้นที่โล่งแจ้งจะมีอุณหภูมิสูงมากๆ จะทำให้สีของรถยนต์จากที่เป็นสีขาวนั้นหมองจนกลายเป็นสีเหลืองได้หากจอดแบบไม่ได้รับการคลุมหรือเคลือบสีเอาไว้ และนอกจากสีของรถยนต์แล้วยังจะทำให้ชิ้นส่วนอื่นๆของรถยนต์เสียหายได้ ตั้งแต่ ยางรถยนต์อ่านทำให้ยางเสื่อมสภาพได้หากจอดเป็นระยะเวลานานๆเมื่อนำกับไปใช้งานจะทำให้ยางเสี่ยงต่อการระเบิดมาก  แบตเตอรี่รถยนต์อาจเสื่อมได้ เพราะในแบตเตอรี่มีของเหลวอยู่อาจระเหยไปกับความร้อนได้หากมีอุณหภูมิเกินจุดเดือด เครื่องยนต์น้ำมันเครื่องอาจลดลงหรือถ้าจอดตากแดดนานๆจะระเหยจนถึงขั้นแห้งได้หากกับมาสตาร์ทเครื่องล่ะก็ บันเทิงแน่นอนครับ รวมถึงชิ้นส่วนภายในที่เป็นยางและพลาสติกอาจทำให้ละลายได้ ไม่ควรจอดรถใต้ต้นไม้ ถ้าไม่ให้จอดตากแดดแล้วจอดใต้ต้นไม้ได้หรือไม่นั่นก็ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องยิ่งสำหรับรถยนต์สีขาวแล้วการจอดใต้ต้นไม้จะทำให้รถยนต์กลายเป็นสีเหลืองได้โดยไม่รู้ตัว เพราะต้นไม้จะมีการล่วงของกิ่งก้านใบอยู่ตลอดเวลารวมถึงหยดน้ำค้างต่างๆที่อาจหล่นลงมาโดนรถและสะสมก่อให้เกิดเป็นคราบที่ล้างออกยากจนซีดเหลืองในที่สุด  เคลือบสีรถ การเคลือบสีรถเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะดูแลรถสีขาวได้ดีที่สุดสามารถช่วยให้สีรถยนต์ของคุณทนทานและยืดอายุการใช้งานได้อย่างดี เพราะก่อนจะถึงสีรถยังมีชั้นฟิล์มที่เคลือบอยู่ชั้นนอกป้องกันเศษหินหรือฝุ่นละอองต่างๆไม่ให้สัมผัสกับสีรถโดยตรง เพียงเท่านี้ก็สบายใจได้ว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้สีรถของคุณซีดหมองจนจากสีขาวกลายเป็นสีเหลืองได้ ใช้ดินน้ำมันล้างรถ อักหนึ่งเคล็ดลับที่หลายๆท่านอาจจะยังไม่รู้คือการใช้ดินน้ำมันช่วยในการล้างรถสงสัยล่ะสิว่าทำอย่างไร ให้ลองนึกถึงในวัยเด็กที่เราเคยแข่งปาดินน้ำมันกับเพื่อนพอเมื่อดึงกลับออกมาเราจะเห็นว่ามันไม่ได้กลับมาแต่ดินน้ำมัน เพราะมันจะดึงเอาเศษฝุ่นหรือเศษหินต่างๆกลับขึ้นมาด้วย เราจะใช้วิธีคล้ายๆกัน แต่ไม่ใช่ให้เอาดินน้ำมันไปปาอัดรถยนต์นะใครเห็นเป็นต้องร้องออกมาเป็นแน่ […]

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร 

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร 

หากพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์จะใช้ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จึงเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่สำคัญมากๆใช้จ่ายกระแสไฟตั้งแต่ในการสตาร์ทเครื่องยนต์จนไปถึงควบคุมระบบและอุปกรณ์ต่างๆของรถ ซึ่งเชื่อว่าผู้ใช้งานหลายท่านก็ต่างสงสัยกันว่า แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร รวมถึงสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ของเราเสื่อมสภาพได้ ในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวิธีใช้งานแบตเตอรี่ให้มีระยะเวลาตามอายุการใช้งานมากที่สุดกันครับ  แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี  แบตเตอรี่รถยนต์ของเราหากจะให้ระบุชัดเจนว่ามีอายุการใช้งานกี่ปีจะเป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะต้องดูจากปัจจัยหลายๆอย่างตั้งแต่เรื่องของการใช้งานและสภาพอากาศในระหว่างเวลาที่ใช้และเวลาที่จอด รวมถึงเกรดคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้งานด้วย โดยปกติจะมีอายุการใช้งานถ้าน้อยที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากดูแลรักษาอย่างดีไม่เสื่อมสภาพก็จะมีอายุการใช้งานได้มากที่สุด 5 ปี เพราะฉะนั้นควรจะเปลี่ยนในช่วงประมาณ 3-4 ปี น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด  สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ สภาพอากาศและอุณหภูมิ หากเจออุณหภูมิที่หนาวจัดและร้อนจัด จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพได้ ยิ่งถ้าจอดในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลานานจะทำให้การกักเก็บกระแสไฟทำงานได้ไม่ดีเหมือนสภาพอุณหภูมิปกติ สังเกตได้จากการที่ผู้ใช้งานที่มีรถจอดนานๆแบบไม่ได้ใช้มักจะจอดเก็บในที่ร่มอยู่เสมอ  การต่อขั้วแบตเตอรี่ การต่อขั้วแบตหากต่อไม่ดีหรือต่อหลวมไปจะให้การจ่ายกระแสไฟและการชาร์จไฟทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หากไดร์ชาร์จไฟมีปัญหาก็จะทำให้การจ่ายกระแสไฟที่ต่ำกว่ากำหนดไปยังแบตเตอรี่หรือมีการรั่วไหลของกระแสไฟก่อนไปถึงตัวแบตเตอรี่ก็จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักโดยที่มีกระแสไฟส่งมาไม่พอเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้ หรือการที่ดัดแปลงให้จ่ายกระแสไฟมากกว่ากำหนดก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้เช่นกัน การเปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งไว้ เชื่อว่าหลายท่านก็อาจจะเคยลืมเผลอเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าค้างไว้โดยที่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์นี่ก็จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเสื่อมหรือหมดได้เร็วมากขึ้นเพราะการที่ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยไม่ผ่านการสตาร์ทเครื่องยนต์จะเป็นการดึงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยตรงโดยที่ไม่มีการปั่นกระแสไฟจากเครื่องยนต์มาทดแทนพลังงานที่เสียไป อาการเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติด หากรถยนต์ของคุณใช้เวลาในการสตาร์ทเครื่องยนต์นานขึ้นจนกว่าจะติด เป็นสาเหตุจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่ไว้ไม่อยู่ทำให้จ่ายไฟได้น้อยลง และหากสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดเลยก็แสดงว่าแบตเตอรี่มีไฟไม่เพียงพอในการสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นข้อสังเกตที่จะเห็นได้อย่างแรกเพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์คือการใช้งานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มากที่สุด  เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์มีกลิ่นผิดปกติ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้หรือกลิ่นผิดปกติเข้ามาในรถก็อาจจะเกิดจากแบตเตอรี่มีการรั่วไหลหรือชำรุดหากฝืนใช้งานต่อจะสร้างความเสียหายลุกลามไปยังชิ้นส่วนต่างๆได้ ให้รีบเปลี่ยนโดยทันที ไฟหน้าส่องสว่างน้อยลง หากในการขับรถในเวลากลางคืนแล้วมีความรู้สึกว่าแสงไฟหน้ารถยนต์ส่องสว่างได้ไม่เหมือนในครั้งก่อน ก็สามารถตั้งข้อสงสัยไปที่การทำงานของแบตเตอรี่ได้เลย แบตเตอรี่ผิดปกติ แบตเตอรี่มีอาการร้อนกว่าปกติหรือเกิดการบวมมากกว่าเดิมนี่ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าแบตเตอรี่ของคุณกำลังเสื่อมสภาพ  สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดหรือบนแบตเตอรี่ โดยรถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตมักจะใส่ตาแมวเป็นสัญลักษณ์บอกประสิทธิภาพของแบตเตอรี่มาให้ด้วย หรือ สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดหรือเริ่มที่จะส่งไฟไม่เพียงพอจะขึ้นรูปแบตเตอรี่สีแดงมาปรากฏกวนใจอยู่บนจอมาตรวัด หากแบตเตอรี่รถยนต์หมดควรทำอย่างไร หากแบตเตอรี่หมดให้หาสายพ่วงแบตที่เป็นอุปกรณ์ติดรถมาให้แล้วให้ขอพ่วงกับรถที่อยู่ระแวกใกล้เคียง […]

ในช่วงหน้าร้อนต้องดูแลยางรถยนต์อย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุด 

ในช่วงหน้าร้อนต้องดูแลยางรถยนต์อย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุด 

ในปัจจุบันอุณหภูมิในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยเราหรือทั่วโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นในทุกๆปีจากสถิติที่ผ่านมา นับวันยิ่งร้อนขึ้นไม่มีทีถ้าที่จะลดลงบ้างเลยถ้าฝนไม่ตก โดยอากาศร้อนแบบนี้ก็มักจะส่งผลเสียให้กับรถยนต์ของคุณอยู่ตลอดโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในยางรถยนต์ที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนที่มีสภาพอากาศร้อนจัดอยู่ตลอด และในวันนี้ผมมีเกล็ดความรู้ดีๆมาฝากทุกท่านผ่านบทความ ในช่วงหน้าร้อนต้องดูแลยางรถยนต์อย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุด เรื่องนี้กัน พร้อมกับวิธีสังเกตเมื่อเวลาที่ยางหมดอายุหรือเสื่อมสภาพ จะได้รู้ตัวและรับมือแก้ไขได้ทันก่อนที่จะเกิดอันตราย  วิธีการดูแลยางรถยนต์ในช่วงหน้าร้อน  หลีกเลี่ยงการจอดบนพื้นที่ร้อนจัดหรือที่กลางแจ้ง การจอดในที่กลางแจ้งเป็นระยะเวลานานๆโดยเฉพาะบนพื้นคอนกรีตหรือพื้นเหล็กที่มีความร้อนสะสมสูงจะทำให้ยามเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติยิ่งในช่วงฤดูร้อนจะเป็นอันตรายกับยางรถยนต์มากๆหากจอดทิ้งไว้นาน จะทำให้ยางเสื่อมสภาพจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อต้องเดินทางไกลต้องมีระยะพักยางบ้าง ในสำหรับการเดินทางไกลในหน้าร้อน โดยเฉพาะในเวลากลางวันที่มีอุณหภูมิสูงและพื้นถนนที่ร้อนจัดสะสมมาตลอดวันจะทำให้อุณหภูมิยางรถยนต์ร้อนเร็วกว่าปกติ จึงต้องมีระยะให้ได้จอดพักเครื่องยนต์และให้อุณหภูมิยางเย็นตัวลงบ้างในทุกๆ 300 กิโลเมตร ให้จอดแวะพักดูบ้างเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านรวมถึงผู้โดยสารและผู้ร่วมทาง หากยางร้อนจัดห้ามสัมผัสน้ำเด็ดขาด การที่อุณหภูมิยางร้อนจัดแล้วนำไปขับลุยน้ำหรือแช่น้ำอาจทำให้ยางแตกหรือยางระเบิดได้ จากการที่อุณหภูมิของยางเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วทำให้พื้นผิวของยางไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จะทำให้ยางรถยนต์เสียหายมากกว่าเดิมให้จอดในพื้นที่ร่มแล้วค่อยๆรอให้อุณหภูมิยางเย็นตัวลงไปเอง จะเป็นการดีที่สุด   หลีกเลี่ยงสภาพถนนที่ชำรุด ในการใช้งานแต่ละครั้งหากไม่ทะนุถนอมยางของเราก็จะทำให้ยางเสียหายและเสื่อมสภาพได้เร็วมากขึ้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับบนสภาพถนนที่ชำรุดไม่เรียบเนียนจะทำให้ยางเสียหายได้ และในกรณีหน้าร้อนยิ่งจำเป็นต้องเลี่ยงเส้นทางพวกนี้เป็นอย่างมากเพราะอุณหภูมิยางที่ร้อนจัดเมื่อเจอกับสภาพถนนที่ไม่สม่ำเสมอบวกกับความเร็วที่รถเคลื่อนที่อาจทำให้ยางเสียหายเพิ่มมากกว่าเดิมหรือทางที่ร้ายที่สุดคือทำให้เสียการควบคุมรถได้ ห้ามใช้น้ำยาเคลือบยางที่ไม่ได้คุณภาพ น้ำยาเคลือบยางที่ไม่ได้คุณภาพมักจะไม่ทนทานกับความร้อนสูงจึงอาจทำให้ละลายการมาเป็นคราบเกาะตามยางทำให้สภาพของยางยึดเกาะได้ไม่ดีเท่าที่เคย  ไม่ควรจอดรถยนต์ทิ้งไว้นาน การที่จอดรถยนต์ทิ้งไว้นานๆโดยไม่ขยับหรือเคลื่อนที่ไปไหนเป็นเวลานานๆก็จะทำให้ยางเสื่อมสภาพได้เช่นกันถึงแม้จะจอดในที่ร่มและไม่ใช่ในหน้าร้อนก็ตาม เพราะการที่รถยนต์ไม่ขยับเป็นเวลานานจะทำให้ยางรับน้ำหนักของรถเพียงด้านเดียว จะทำให้ยางไม่เป็นทรงกลมเหมือนเดิมหากนำไปใช้ก็จะเป็นอันตรายมากๆ  ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป โดยเฉพาะในหน้าร้อนการที่บรรทุกน้ำหนักมากโดยที่ยางก็มีอุณหภูมิสูงอยู่แล้วจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ทั้งเรื่องของยางระเบิดหรือในเวลาที่เจอร่องถนนที่ชำรุดอาจทำให้ยางแฉลบจนรถยนต์เสียหลักได้ แล้วถ้ายิ่งบรรทุกของหนักแล้วพอเสียการควบคุมเพียงนิดเดียวก็เตรียมรับแรงปะทะได้เลย  ขับขี่ด้วยความเร็วปกติ ในทุกครั้งเราควรขับขี่ด้วยความเร็วปกติตามที่กฎหมายกำหนด เพราะจะทำให้ปลอดภัยและควบคุมรถได้ง่ายอีกทั้งยังเป็นการถนอมยางรถยนต์ไปในตัว เพราะในทางข้างหน้าเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นค่อยๆขับไว้ก่อนจะปลอดภัยที่สุด  หมั่นดูแลรักษาศูนย์ล้อและช่วงล่าง การดูแลรักษาช่วงล่างและศูนย์ล้อคือสิ่งที่ทุกคนควรตรวจสอบเบื้องต้นได้ จากการสัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างการใช้งานในครั้งตอนรถยังใหม่ว่าในปัจจุบันมีตรงไหนที่ผิดแปลกไปจากเดิมบ้าง หากรู้สึกก็หาศูนย์บริการที่ไว้ใจได้ลองตรวจเช็คสภาพดูบางที่ก็อาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรจะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มโดยที่ไม่จำเป็น  เปลี่ยนยางตามอายุการใช้งาน ในยางแต่ละรุ่นแต่ละชนิดก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป แต่ในยางรถยนต์ปกติที่ออกมาจากศูนย์จะมีอายุการใช้งาน อยู่ที่ 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละท่าน […]

การฆ่าเชื้อโควิด 19 ในรถยนต์ต้องทำอย่างไร

การฆ่าเชื้อโควิด 19 ในรถยนต์ต้องทำอย่างไร

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ระบาดอย่างรุนแรงเป็นวงกว้างในประเทศไทย แถมยังเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่าย และส่งผลนานหลายวันกว่าจะออกอาการ ทำให้ผู้ติดเชื้อบางท่านอาจเป็นพาหะได้โดยไม่รู้ตัว รวมถึงกับตัวท่านเองด้วย และถ้าหากรถยนต์ของเรามีผู้โดยสารที่เป็นกลุ่มเสี่ยงขึ้นมาในรถเราจะมีวิธี การฆ่าเชื้อโควิด 19 ในรถยนต์ต้องทำอย่างไร ให้ถูกต้องปลอดภัยจนมั่นใจที่จะใช้งานต่อได้ จากการที่ไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายเป็นวงกว้างจึงต้องทำให้การใช้ชีวิตในประจำวันของเรายากลำบากขึ้นไปบ้าง เพราะมีมาตรการขึ้นมาใหม่มากมาย แต่ทั้งนี้ก็เพื่อการยับยั้งเชื้อที่ต้องเริ่มจากตัวท่านไม่ให้แพร่ระบาด คนรอบข้างก็ไม่เสี่ยงไปด้วย และป้องกันความเสี่ยงเมื่อคุณต้องพบปะผู้คนโดยจำเป็น ไม่ว่าจะเวลาทำงานหรือในการออกไปข้างนอกบ้าน สำหรับผู้ที่ขับรถบริการสาธารณะยิ่งต้องห้ามพลาดบทความเรื่องนี้เลย เพราะรถยนต์ที่ใช้นั้นได้รับผู้โดยสารที่หลากหลายไม่อาจทราบได้ว่ามีท่านใดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ยิ่งต้องใส่ใจกับเรื่องความสะอาดภายในรถเป็นพิเศษ ด้านภายนอกรถยนต์ ควรล้างรถบ่อยขึ้น การล้างรถยนต์บ่อยๆไม่ได้แค่ทำให้รถคุณสวยงามสะอาดตาอยู่ตลอดเพียงเดียวแต่ยังเป็นการฆ่าเชื้อโรคที่สะสมเกาะอยู่ตามจุดต่างๆอีกด้วย ควรมีการล้างรถยนต์ของคุณอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง สามารถล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือน้ำยาล้างรถปกติก็ได้ จอดรถตากแดด การจอดรถตากแดดคืออีกวิธีหนึ่งของการฆ่าเชื้อโรคอย่างเช่นจอดกลางแจ้งไว้สักระยะเวลาหนึ่งโดยเปิดประตูหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเท เพราะหากไม่มีอากาศถ่ายเทความร้อนก็จะไปสะสมอยู่ข้างใน ทำให้รถมีอุณหภูมิสูงเกินไปซึ่งแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายรถยนต์ของตัวเองมากกว่าการฆ่าเชื้อโรค ทำความสะอาดบริเวณที่ใช้มือสัมผัส สิ่งที่ต้องความสะอาดหรือต้องลงน้ำยาฆ่าเชื้ออยู่ตลอดนั่นก็คือชิ้นส่วนที่ใช้มือสัมผัสเป็นหลัก เช่น ที่จับเปิด-ปิดประตู ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสารในทุกด้าน บริเวณทีเปิดฝากระโปรงด้านหน้ารถหรือตัวฝากระโปรงรถ ที่จับเปิดปิดประตูด้านท้าย ฝาปิดถังน้ำมัน เป็นต้น การฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ พ่นค่าน้ำยาฆ่าเชื้อหรืออบโอโซนในภายในรถยนต์ โดยในปัจจุบันทางศูนย์บริการของแต่ละค่ายมีบริการพ่นน้ำยาค่าเชื้อและอบโอโซนที่นำมาให้บริการลูกค้าได้ที่ศูนย์บริการใกล้บ้านท่าน โดยนอกจากการล้างรถดูดฝุ่นแล้ว การลงน้ำยาฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ยังเป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไม่ให้แพร่กระจายต่อได้และตายในที่สุด และการอบโอโซน ก็จะเป็นการหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการกำจัดกลิ่นอับภายในรถยนต์ของคุณอีกด้วย ล้างแอร์ การนำแอร์มาล้างใหม่นอกกจากจะทำให้ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างลื่นไหลและเย็นสบายมากขึ้นแล้ว อีกทั้งยังสามารถถอดตัวกรองอากาศออกมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อได้ จะยิ่งทำให้สบายใจมากขึ้นเข้าไปอีก เพราะอากาศก็จะได้รับการฆ่าเชื้อมาในขณะที่กรองอากาศเลย  ทำความสะอาดพรมบนพื้นรถ […]

น้ำมันเบรกช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เบรกอย่างไร หากหมดไปจะทำให้เกิดอาการ เบรกเฟด หรือไม่   

น้ำมันเบรกช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เบรกอย่างไร หากหมดไปจะทำให้เกิดอาการ เบรกเฟด หรือไม่   

ในการทำงานของรถยนต์ระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คืออุปกรณ์ห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ หรือ เบรก ที่เราเรียกกันซึ่งตัวเบรกเองก็ต้องใช้น้ำมันหล่อเลี้ยงในการทำงานเหมือนกับเครื่องยนต์เช่นกัน สำหรับหลายท่านที่กำลังสงสัยว่า น้ำมันเบรกช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เบรกอย่างไร หากหมดไปจะทำให้เกิดอาการ เบรกเฟด หรือไม่ โดยในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปหาคำตอบในเรื่องนี้กัน พร้อมกับวิธีการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการเบรกเฟดในระหว่างขับขี่ น้ำมันเบรก คืออะไร น้ำมันเบรก คือ ของเหลวชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่น้ำมันแต่ในประเทศไทยยังไม่มีคำจำกัดความที่ใช้เรียก Brake Fluid อย่างเป็นทางการจึงเรียกน้ำมันเบรกกันเรื่อยมา แต่ที่จริงเป็นสารเคมีที่นำมาผสมกันระหว่าง อีเทอร์ (Ether) และ ไกลคอล (Glycol) ที่ให้ความหล่อลื่นคล้ายกับน้ำมัน ซึ่งสาร 2 ชนิดนี้จะช่วยให้เบรกมีแรงดูดซับความชิ้นได้ดีมากขึ้นโดยทำปฏิกิริยากับอากาศและลมที่ได้สัมผัส ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างไร ในการเปลี่ยนถ่ายในมันเบรกปกติ ควรเปลี่ยนถ่ายทุกๆครั้งเมื่อวิ่งครบที่ 20,000 ไม่เกิน 30,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนในประเทศไทย ให้หมั่นตรวจเช็คน้ำมันเบรกพร้อมๆกับการตรวจเช็คน้ำมันเครื่องเมื่อวิ่งครบที่ 10,000 กิโลเมตร หากน้ำมันเบรกเสื่อมสภาพจะดูจากอะไร หากเกิดอาการเหล่านี้ต้องรีบแก้ไขตรวจเช็คโดยด่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อตัวท่านและผู้อื่น ตั้งแต่อาการ เบรกแล้วมีเสียงดัง จานเบรกเสียดสีกับเบรก เบรกแล้วรู้สึกไม่มีน้ำหนัก หรือ ต้องใช้แรงเบรกมากขึ้น เบรกหายหรือเบรกไม่อยู่ อาการเบรกเฟด (Brake […]

ในปัจจุบันใบขับขี่มีกี่ชนิด ควรจะเลือกทำแบบไหนถึงจะถูกต้อง

ในปัจจุบันใบขับขี่มีกี่ชนิด ควรจะเลือกทำแบบไหนถึงจะถูกต้อง

สำหรับท่านที่กำลังจะไปทำใบขับขี่และไม่รู้ว่าจะต้องไปทำเป็นแบบไหนถึงจะถูกต้องตรงตามการใช้งาน ในสำหรับวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปดูกันว่า ในปัจจุบันใบขับขี่มีกี่ชนิด ควรจะเลือกทำแบบไหนถึงจะถูกต้อง แบ่งเป็นกี่ประเภท ใช้งานแบบไหน รวมถึงสิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนจะไปทำใบขับขี่วันนี้เราจะพาทุกท่านไปหาคำตอบกันครับ ใบขับขี่มีทั้งหมด 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ใบขับขี่ประเภท บ. (ส่วนบุคคล) ไปใบขับขี่ประเภทส่วนบุคคลสามารใช้งานได้ทั่วไปตั้งแต่ขนส่งเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือการขนส่งเพื่อการค้า โดยจะจำกัดน้ำหนักการบรรทุกไม่ให้เกิน 1,600 กิโลกรัม และต้องไม่ใช่การรับจ้าง ใช้ขับขี่รถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนสีขาวตัวอักษรสีดำได้  ใบขับขี่ประเภท ท. (ทุกประเภท) คือใบอนุญาตขับขี่ที่ใช้งานได้ทุกประเภทตั้งแต่การรับจ้างบรรทุกชนย้ายสิ่งของ ใช้ขนส่งเพื่อการค้าได้โดยไม่จำกัดน้ำหนัก รับจ้างขนส่งสาธารณะได้ ใช้กับรถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนสีเหลืองได้  โดยต่อมาจะแยกประเภทออกตามชนิดของยานพาหนะที่ใช้ขับขี่และรูปแบบในการใช้งานของผู้ใช้ เริ่มตั้งแต่  ใบขับขี่ชนิดชั่วคราว ใบขับขี่ชนิดชั่วคราว จะเปรียบเสมือนใบผ่านทางที่ผู้ขับขี่จะต้องได้รับทุกคน ก่อนที่จะได้รับใบขับขี่ขั้นต่อไป จะเป็นใบขับขี่ที่มีอายุสั้นที่สุดและค่าธรรมเนียมถูกที่สุด หรือพูดง่ายๆก็คือใบทดลองงาน หากคุณใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยไม่เกิดเป็นคดีความใดๆภายในระยะเวลา 2 ปี ตามอายุการใช้งาน ก็จะสามารถไปต่อใบขับขี่ในแบบขั้นต่อไปได้ครับ โดยผู้ที่จะทำใบขับขี่ชนิดนี้ได้จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และใบขับขี่ชนิดนี้ แยกออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ ใบขับขี่รถยนต์ชั่วคราว  มีอายุการใช้งาน 2 ปี  มีค่าธรรมเนียม 100 บาท  ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราว  […]

เมื่อเกียร์ออโต้ของคุณมีปัญหา และเปิดสัญญาณเตือนก่อนพัง

เมื่อเกียร์ออโต้ของคุณมีปัญหา และเปิดสัญญาณเตือนก่อนพัง

สำหรับวันนี้ผมและทีมงานจะพาทุกท่านมาศึกษาวิธีการใช้เกียร์อัตโนมัติให้ถูกวิธี เมื่อเกียร์ออโต้ของคุณมีปัญหา และเปิดสัญญาณเตือนก่อนพัง กันว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรให้ถูกต้อง โดยที่ผ่านมาจะมีเวลาไหนที่เราได้ทำผิดไปบ้างรึป่าว หากทำไปแล้วจะเกิดผลเสียให้กับเกียร์ได้อย่างไร พร้อมกับวิธีรับมือกับอาการที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ลุกลามบานปลาย ถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมพร้อมๆกันเลยครับ  สาเหตุที่ทำให้เกียร์เสียหายหรือพังได้  เชนเกียร์ต่ำในรอบเครื่องยนต์สูง ในเวลาที่รอบเครื่องยนต์สูงอยู่แล้วคุณทำการเชนเกียร์เพื่อที่จะเร่งรอบเครื่องยนต์เพิ่มจากเดิมแน่นอนว่ารถจะตอบสนองเร็วขึ้นก็จริงแต่นั่นคือการทำร้ายเกียร์ของคุณโดยตรง เพราะจะส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในเกียร์ทำงานหนักเกินไป จึงส่งผลทำให้เกียร์สึกหรอทุกครั้งหากทำบ่อยๆจะส่งผลให้เกียร์พังได้อย่างแน่นอน เปลี่ยนจากเกียร์ R ไปเกียร์ D หรือ เข้าเกียร์ P ในขณะที่รถยังจอดไม่สนิท ในการทำงานของระบบเกียร์รถยนต์จะเป็นฟันเฟืองหลายตัวทำงานประสานกัน หากในเวลาที่เราใช้เกียร์ R (ถอยหลัง) ฟันเฟืองจะหมุนคนละทิศทางกับเกียร์เดินหน้า หากเวลาถอยอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์เดินหน้าอย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เฟืองเกียร์เสียหายโดยตรงเพราะจะเป็นเหมือนการไปฝืนกฏการทำงานของเกียร์ที่ต้องทำงานกันเป็นขั้นตอนและในเวลาที่เข้าเกียร์ P ในขณะที่ยังจอดไม่สนิทก็จะเป็นการไปล็อกเฟืองเกียร์ก่อนในขณะที่ยังไม่หยุดทำงาน อาจทำให้เฟืองชนกันจนเกิดการแตกได้  กระแทกคันเร่งบ่อยๆ ในการที่เรากระแทกคันเร่งบ่อยๆทั้งในจังหวะแซงหรือ ออกตัวแบบเต็มคันเร่งเหมือนกับในหนังบ่อยๆแบบนั้นจะส่งผลให้เกียร์ทำงานหนักมากเกินไป จะเกิดการเสียดสีของเฟืองโดยเกินความจำเป็น หากทำแบบนี้นานเข้าจะส่งผลต่อเฟืองเกียร์ของคุณอย่างแน่นอน  ลืมถ่ายน้ำมันเกียร์ ซึ่งในส่วนนี้เช่นเดียวกับน้ำมันเครื่องที่จะปล่อยให้ขาดไม่ได้เลย เพราะชิ้นส่วนภายในของเกียร์นั้นก็ต้องใช้น้ำมันหล่อเลี้ยงเพื่อการทำงานที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราควรถ่ายน้ำมันเกียร์ในทุกครั้งเมื่อรถวิ่งครบ 40,000-60,000 กิโลเมตร  ข้อสังเกตอาการที่เกิดขึ้นก่อนเกียร์จะพัง เข้าเกียร์ D และ เกียร์ R แล้วมีอาการกระชากหรือสะดุด อาการแบบนี้จะเกิดได้จากหลายกรณี กรณีแรกเกิดจากการที่น้ำมันเกียร์ร้อนเกินมาตรฐานกำหนดอาจเพราะไม่ได้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เป็นเวลานาน คือจุดเริ่มต้นหนึ่งที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย หรือในเวลาที่สตาร์ทเครื่องใหม่แล้วอยู่ในช่วงวอร์มเครื่องแล้วใช้งานเลยอาจทำให้เข้าเกียร์แล้วกระตุกได้หรืออาการที่เรียกกันว่าเกียร์เย็น เกียร์เปลี่ยนเร็วหรือช้ากว่าปกติ การที่เกียร์เปลี่ยนไม่คงที่เป็นอีกสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่าเกียร์คุณเริ่มมีอาการแปลกๆแล้วนะ ถ้ารถยนต์ที่ไม่เคยทำการปรับแต่งเกียร์หรือกล่อง […]

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่

หากพูดถึงรถจักรยานยนต์นั้นก็ใช้งานในชีวิตประจำวันไม่ต่างกับรถยนต์ เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาจึงไม่แตกต่างกันกับรถยนต์มากนัก และหากสงสัยว่า รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่ ซึ่งก็ตอบได้เลยว่าแทบจะไม่แตกต่างกัน เพราะต้องดูแลในอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำงานเหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันที่ระยะทางและปริมาณ ด้วยขนาดรถและขนาดความจุของเครื่องยนต์ที่รถจักรยานยนต์มีขนาดเล็กกว่ามาก โดยในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปดูในรายละเอียดในเรื่องนี้กันครับ   สิ่งที่ต้องหมั่นตรวจสอบดูแลเป็นประจำ น้ำมันเครื่อง รถจักรยานยนต์จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่กำหนดเช่นเดียวกับในรถยนต์ แต่รถจักรยานยนต์จะมีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กกว่าทำให้มีอ่างเก็บน้ำมันเครื่องที่น้อยกว่ารถยนต์ และเครื่องยนต์ที่มีรอบจัดกว่าทำให้มีความร้อนสะสมสูงกว่ารถยนต์จึงต้องมีระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่เร็วกว่ารถยนต์อยู่พอสมควร โดยจะแบ่งตามเกรดของน้ำมันเครื่องที่ใช้ดังนี้ สำหรับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100 % แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 4,000-5,000 กิโลเมตรต่อครั้ง สำหรับน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 2,000-3,000 กิโลเมตร ต่อครั้ง สำหรับน้ำมันเครื่องเกรดพื้นฐาน แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 1,500-2,000 กิโลเมตรต่อครั้ง ระบบน้ำหล่อเย็น สำหรับในรถจักรยานยนต์รุ่นที่ใช้หม้อน้ำในการระบายความร้อน จะต้องมีการใช้น้ำในการหล่อเย็นเช่นเดียวกับรถยนต์ เพราะฉะนั้นการหมั่นตรวจเช็คก็จะคล้ายๆรถยนต์คืออาทิตย์ละ 1 ครั้ง ให้ลองเปิดฝาตรวจสอบระดับน้ำดูว่าขาดไปหรือไม่ และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเมื่อวิ่งครบ 40,000 กิโลเมตรต่อหนึ่งครั้ง หรือเปลี่ยนถ่ายในทุกๆหนึ่งปีหากไม่มีการรั่วไหลของหม้อน้ำ  น้ำมันเบรก เช่นเดียวกับรถยนต์ที่ระบบเบรกเป็นส่วนสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันในรถจักรยานยนต์ เพราะเป็นระบบที่ช่วยห้ามล้อ หากเสื่อมสภาพหรือไม่สมบูรณ์ในระหว่างใช้งานจะทำให้เกิดอันตรายให้กับผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นน้ำมันเบรกจึงเป็นสิ่งที่ห้ามขาดไปโดยเด็ดขาด ต้องให้อยู่ในระดับที่กำหนดตลอดเวลา ควรหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำเช่นเดียวกับระดับน้ำหล่อเย็น ที่ต้องตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และมีระยะการเปลี่ยนถ่ายเมื่อวิ่งครบทุก 40,000 กิโลเมตร หรือ ปีละ […]

หากรถจักรยานยนต์ขับแล้วมีอาการกระตุกหรือวูบดับ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

หากรถจักรยานยนต์ขับแล้วมีอาการกระตุกหรือวูบดับ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

สำหรับผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์ อาจจะพบเจอปัญหาในระหว่างการใช้งานได้เหมือนกับในรถยนต์เข่นกัน ส่วนมากอาการที่จะพบบ่อยในรถจักรยานยนต์คืออาการวูบดับหรือขับกระตุกที่อาจเป็นปัญหาจุกจิกกวนใจของใครหลายคนที่แก้เท่าไรอาการก็ยังกลับมาอยู่ โดยในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปดูกันว่า หากรถจักรยานยนต์ขับแล้วมีอาการกระตุกหรือวูบดับ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง หากไม่อยากให้เกิดขึ้นกับรถจักรยานยนต์ของเราควรทำอย่างไร ในสำหรับวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปหาคำตอบกับเรื่องนี้กันครับ อาการเครื่องยนต์กระตุกหรือวูบดับ เกิดจากอะไร หัวเทียน หัวเทียนอาจหลวม หรือเสื่อมสภาพ และร้ายที่สุดคือหัวเทียนบอด เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่หากเสียไปจะทำให้รถเกิดอาการดังกล่าวได้ตั้งแต่น้อยไปจนถึงสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดได้เลย เพราะหัวเทียนเป็นชิ้นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในระบบการทำงานของเครื่องยนต์ เพราะจะทำหน้าที่สร้างประจุไฟฟ้าแรงสูงเพื่อไปเป็นแรงในการจุดระเบิด เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานและเคลื่อนตัวออกไปได้ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ห้ามเสียหายเด็ดขาด และต้องเปลี่ยนตามอายุการใช้งานที่ของหัวเทียนรุ่นนั้น  หัวฉีด ในปัจจุบันรถจักรยานยนต์ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมดแล้วที่ประหยัดน้ำมันและจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำ แต่ถ้าหากหัวฉีดที่ไม่ได้รับการดูแลให้ดีเท่าทีควรหรือการที่ใช้น้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถเสื่อมสภาพและอุดตันได้เช่นกัน และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถจักรยานยนต์ กระตุกหรือวูบดับได้  ปั้มติ๊ก หรือตัวปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในถังน้ำมันคอยควบคุมแรงดันของน้ำมันเชื้อเพลงที่จะส่งไปให้กับเครื่องยนต์ หากปั้มติ๊กเสื่อมสภาพไปก็จะไม่สามารถจ่ายน้ำมันได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์สะดุดหรืออาจวูบดับในบางจังหวะได้ การดูแลรักษาปั๊มติ๊กในเบิ้องต้นเพียงแค่เราไม่ปล่อยให้น้ำมันเตือนหรือใช้งานตอนน้ำมันเหลือก้นถัง จะเป็นการทำให้ปั้มติ๊กดูดน้ำมันได้ไม่เต็มที่ หมั่นเติมน้ำมันให้เต็มถังตลอดก็จะเป็นการถนอมปั๊มติ๊กไปในตัว ไส้กรองอากาศ หากปล่อยให้อุดตันโดยไม่ดูแลรักษาหรือเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้เกิดปัญหานี้ได้ง่ายมากขึ้น โดยไส้กรองอากาศในรถจักรยานยนต์หลักในบ้านเราก็จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบเปียก กับ แบบแห้ง ซึ่งมีระยะการใช้งานอยู่ที่ 10,000 กิโลเมตร เมื่อใช้งานครบระยะที่กำหนดให้เปลี่ยนทันทีทั้งใน 2 ใบ ถึงแม้จะเป็นรุ่นที่มีสมรรถนะสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะอากาศในประเทศไทยมักจะเต็มไปด้วยฝุ่นละอองในอากาศมาก หรือ PM 2.5 […]