รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่

หากพูดถึงรถจักรยานยนต์นั้นก็ใช้งานในชีวิตประจำวันไม่ต่างกับรถยนต์ เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาจึงไม่แตกต่างกันกับรถยนต์มากนัก และหากสงสัยว่า รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่ ซึ่งก็ตอบได้เลยว่าแทบจะไม่แตกต่างกัน เพราะต้องดูแลในอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำงานเหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันที่ระยะทางและปริมาณ ด้วยขนาดรถและขนาดความจุของเครื่องยนต์ที่รถจักรยานยนต์มีขนาดเล็กกว่ามาก โดยในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปดูในรายละเอียดในเรื่องนี้กันครับ  

สิ่งที่ต้องหมั่นตรวจสอบดูแลเป็นประจำ

น้ำมันเครื่อง

รถจักรยานยนต์จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่กำหนดเช่นเดียวกับในรถยนต์ แต่รถจักรยานยนต์จะมีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กกว่าทำให้มีอ่างเก็บน้ำมันเครื่องที่น้อยกว่ารถยนต์ และเครื่องยนต์ที่มีรอบจัดกว่าทำให้มีความร้อนสะสมสูงกว่ารถยนต์จึงต้องมีระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่เร็วกว่ารถยนต์อยู่พอสมควร โดยจะแบ่งตามเกรดของน้ำมันเครื่องที่ใช้ดังนี้

  • สำหรับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100 % แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 4,000-5,000 กิโลเมตรต่อครั้ง
  • สำหรับน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 2,000-3,000 กิโลเมตร ต่อครั้ง
  • สำหรับน้ำมันเครื่องเกรดพื้นฐาน แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะ 1,500-2,000 กิโลเมตรต่อครั้ง

ระบบน้ำหล่อเย็น

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่1

สำหรับในรถจักรยานยนต์รุ่นที่ใช้หม้อน้ำในการระบายความร้อน จะต้องมีการใช้น้ำในการหล่อเย็นเช่นเดียวกับรถยนต์ เพราะฉะนั้นการหมั่นตรวจเช็คก็จะคล้ายๆรถยนต์คืออาทิตย์ละ 1 ครั้ง ให้ลองเปิดฝาตรวจสอบระดับน้ำดูว่าขาดไปหรือไม่ และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเมื่อวิ่งครบ 40,000 กิโลเมตรต่อหนึ่งครั้ง หรือเปลี่ยนถ่ายในทุกๆหนึ่งปีหากไม่มีการรั่วไหลของหม้อน้ำ 

น้ำมันเบรก

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่2

เช่นเดียวกับรถยนต์ที่ระบบเบรกเป็นส่วนสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันในรถจักรยานยนต์ เพราะเป็นระบบที่ช่วยห้ามล้อ หากเสื่อมสภาพหรือไม่สมบูรณ์ในระหว่างใช้งานจะทำให้เกิดอันตรายให้กับผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นน้ำมันเบรกจึงเป็นสิ่งที่ห้ามขาดไปโดยเด็ดขาด ต้องให้อยู่ในระดับที่กำหนดตลอดเวลา ควรหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำเช่นเดียวกับระดับน้ำหล่อเย็น ที่ต้องตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และมีระยะการเปลี่ยนถ่ายเมื่อวิ่งครบทุก 40,000 กิโลเมตร หรือ ปีละ 1 ครั้งก็ได้หากไม่ได้ใช้งานเยอะขนาดนั้น 

หัวเทียน

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่3

หัวเทียนเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ห้ามมองข้ามเพราะเป็นตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงทั้งหมดเพื่อจุดระเบิดในการสตาร์ทเครื่องยนต์ รวมถึงส่งกระแสไฟไปยังระบบการทำงานต่างๆในรถจักรยานยนต์ เรียกว่าเป็นตัวจ่ายพลังงานไฟฟ้าหลักของรถ หากหมดอายุหรือเสื่อมสภาพไปก็จะไม่สามารถใช้งานรถจักรยานยนต์ได้นั่นเอง ในหัวเทียนปกติจะมีอายุการใช้งานที่ 10,000 กิโลเมตรโดยประมาณ เพราะฉะนั้นเมื่อวิ่งครบทุก 10,000 กิโลเมตร ให้เปลี่ยนไปใช้หัวเทียนใหม่เพื่อไม่ให้รถจักรยานยนต์ของคุณเกิดปัญหาในเวลาที่ไม่คาดคิดได้ 

ไส้กรองอากาศ

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่4

โดยไส้กรองอากาศในรถจักรยานยนต์หลักในบ้านเราก็จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบเปียก กับ แบบแห้ง ซึ่งมีระยะการใช้งานอยู่ที่ 10,000 กิโลเมตร เมื่อใช้งานครบระยะที่กำหนดให้เปลี่ยนทันทีทั้งใน 2 ใบ ถึงแม้จะเป็นรุ่นที่มีสมรรถนะสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะอากาศในประเทศไทยมักจะเต็มไปด้วยฝุ่นละอองในอากาศมาก หรือ PM 2.5 เพราะฉะนั้นควรเปรียบตามระยะที่กล่าวไว้ หากถามว่าแล้วไส้กรองอากาศทั้ง 2 แบบแตกต่างกันอย่างไร เมื่อต้องเปลี่ยนที่ระยะเวลาเท่ากัน ในไส้กรองอากาศแบบแห้งจะสามารถถอดมาความสะอาดได้โดยการใช้เครื่องเป่าทำความสะอาดให้เป่าจากฝั่งด้านในของกรองอากาศออกมา ให้ทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง กันไส้กรองอากาศตันได้ ส่วนไส้กรองอากาศแบบเปียกซึ่งจะเป็นแบบที่มีน้ำมันหล่อลื่นภายในจะไม่สามารถทำความสะอาดได้ ถ้าพบว่าฝุ่นมากแนะนำให้เปลี่ยนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด 

ยาง

รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่5

อายุการใช้งานของยางรถจักรยานยนต์ในแบบปกติจะมีอายุใช้งานที่เท่ากับรถยนต์ ก็คือจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1-2 ปี ซึ่งแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อวิ่งครบเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ยางเสื่อมสภาพหรือหมดอายุในระหว่างการใช้งานได้ และถึงจะเป็นยางใหม่ที่ไม่เคยใช้งานให้ดูจากปียางถ้ายางผลิตมาเกิน 4 ปี แล้วห้ามนำมาใช้เด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานก็อาจจะสั้นกว่า 2 ปีได้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และหากว่าต้องเปลี่ยนยางก่อนกำหนดจะมีวิธีการสังเกตดังนี้

  • ร่องยางมีขนาดน้อยกว่า 4 มิลลิเมตร ควรเปลี่ยนยางทันทีไม่ควรใช้งานต่อเพราะอาจทำให้ยางแตกหรือยางระเบิดได้หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน เพราะร่องยางบางลงกว่าปกติมากแล้ว 
  • ดอกยางเริ่มสึกจนบางเสมอกับพื้นยาง เมื่อพบเจอสภาพนี้ให้รีบเปลี่ยนยางในทันที เพราะยางหมดอายุแล้ว การที่ดอกยางหมดจะทำให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนหายไป ยิ่งในเวลาเข้าโค้งจะลื่นกว่าปกติ อันตรายมากๆ 
  • ดอกยางโล้นยางบาง ถ้าเป็นแบบนี้ยางจะรั่วบ่อยสำหรับรถที่มียางในเพราะจะเหมือนกับยางในสัมผัสถนนโดยตรง อาการนี้ต่อให้เปลี่ยนยางในสักกี่เส้นก็ไม่มีประโยชน์ต้องเปลี่ยนยางนอกเท่านั้น แต่สำหรับรถที่ไม่มียางในก็จะทำให้ยางไม่ยึดเกาะถนนเลยอาจจะขับได้แต่อันตรายมากๆ ไม่ควรขับต่อเด็ดขาดทางเดียวที่จะขับคือขับไปเปลี่ยนยางในร้านที่ใกล้ที่สุด 

อย่างไรก็ตามการใช้งานรถจักรยานยนต์ทุกครั้งต้องใช้งานด้วยความไม่ประมาทถึงแม้เราจะดูแลรถให้มีสภาพสมบูรณ์แค่ไหนหากใช้งานด้วยความประมาทก็สามารถเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้เช่นกัน เพราะอย่างไรก็ตามรถจักรยานยนต์ยังเป็นการใช้งานแบบเนื้อหุ้มเหล็ก ไม่ใช่เหล็กหุ้มเนื้อแบบในรถยนต์ เพราะฉนั้นต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังที่สุดในทุกครั้ง และสุดท้ายนี้หวังว่าบทความ รถจักรยานยนต์มีวิธีการดูแลอย่างไร ต่างกันกับรถยนต์หรือไม่ เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์และมอบสาระความรู้ให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากที่สุดนะครับ สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ mywonderwheel สล็อตเว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

บทความล่าสุด

หมวดหมู่

บริการรับ จำนำรถ

TAG