หากถามว่ารถยนต์คันไหนคือจุดเริ่มต้นของที่ได้นำสัญลักษณ์ Honda สีแดงมาใช้ ก็คงต้องย้อนกลับไปไกลกันจนถึงยุค 90s ที่แบรนด์รถยนต์อย่าง Honda หันมาเอาจริงเอาจังกับรถสปอร์ตมากขึ้น โดยงัดไม้เด็ดมาสู้กับแบรนด์ม้าลำพองด้วย Honda NSX-R รถสปอร์ตเครื่องวางกลางคันแรกของแบรนด์ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น Ferrari ของญี่ปุ่น คันนี้ที่จะเข้ามาสั่นสะเทือนวงการรถญี่ปุ่นไปตลอดการ สำหรับ Honda NSX-R คันนี้เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของ Honda ในช่วงเวลานั้น ที่นอกจากจะเป็นต้นแบบของตระกูล Type R Series ให้กับแบรนด์แล้ว ยังเป็นรถยนต์ที่ได้รับฉายาว่า Ferrari of Japan เพราะมากับรูปร่างหน้าตาที่สปอร์ตเต็มขั้น พร้อมกับเครื่องยนต์แบบวางกลางคันแรกของแบรนด์ และ เป็นคันแรกของประเทศที่ได้วางจำหน่ายจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นรถสปอร์ตที่มีมาดหรูที่สุดใน 4 จตุรเทพเลย ให้สมกับคำที่ว่าผู้ดีขี่ Honda ซึ่งรถยนต์คันนี้จะมีรายละเอียดความสุดยอดอย่างไรบ้าง
Honda NSX ทั้งหมด
- Honda NSX-R NA1 ปี 1992 ราคาค่าตัวจะอยู่ที่ 7-8 ล้านบาท
- Honda NSX-R NA2 ปี 2002 ราคาค่าตัวจะอยู่ที่ 8-10 ล้านบาท
จุดเด่นของ Honda NSX-R
- สำหรับรถยนต์คันนี้ในส่วนแรกที่เราต้องบอกท่านผู้ชมกันก่อนเลย ถึงแม้ว่ารถยนต์คันนี้จะจัดอยู่ 1 ใน 4 ของ 4 King of JDM ก็ตาม แต่ความจริงรถยนต์คันนี้ถึงแม้จะเกิดมายุคเดียวกับทั้ง 3 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น Toyota Supra . Nissan Skyline GT-R . หรือ แม้กระทั่ง Mazda RX-7 ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคู่แข่งที่ NSX หมายตาสักเท่าไหร่ เพราะรถยนต์คันนี้เกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Ferrari 328 GTB ที่จัดว่าเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางที่แรงที่สุดในยุคนั้น ซึ่งต่อให้นำ Honda NSX-R มาแข่งกับทั้ง 3 รุ่น ก็จะเห็นได้ชัดว่า NSX-R นั้นมีความได้เปรียบมากกว่าทั้ง 3 รุ่นในช่วงความเร็วสูง จึงถูกตัดชื่อออกไปจากการแข่งขันไปหลายปีจากการสร้างกฏและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ NSX ทุกรุ่นไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่รถยนต์คันนี้เองก็ไม่ได้ต้องการที่จะไปแข่งกับรถสัญชาติเดียวกันอยู่แล้ว เพราะมองไปที่ Ferrari และ Porsche เท่านั้น
- สำหรับรถยนต์คันนี้จะเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่มากับเครื่องยนต์แบบวางกลาง โดยจะใช้ขุมพลังแบบ V6 เบนซิน 3.0 ลิตร VTEC N/A รหัส C30A ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้จะมากับรอบ Redline ที่สูง ตัวลูกสูบสามารถทนทานต้อความร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใช้ก้านสูบและลูกสูบเป็นแบบไทเทเนี่ยมที่มีน้ำหนักเบาและทนทานกว่าแบบธรรมดาทั่วไป ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้จะมาพร้อมกับพละกำลัง 276 แรงม้า ที่ 7,300 รอบต่อนาที และ มี Redline อยู่ที่ 8,000 รอบ ซึ่งถือว่าสูงมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ช่วยให้รถยนต์คันนี้ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 4.7 วินาที โดยมาพร้อมกับ Top Speed ถึง 270 กม./ชม. และ ถ้าได้อ่านบทความเรื่อง 4 King of JDM ของเราแล้ว จะทราบว่ารถทุกคันที่ผลิตมาในช่วงยุค 90 ของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะค่ายักษ์ใหญ่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะไม่ผลิตรถยนต์ที่มีแรงม้าเกิน 280 แรงม้าเพื่อลดปัญหามลพิษ แต่ถึงอย่างไรในเรื่องของความเร็วก็ต้องพัฒนาต่อจึงแอบปรับจูนบางอย่างให้รถช้าลง ที่ผู้คนสามารถนำออกไปปรับเพียงเล็กน้อยก็สามารถมีพละกำลังเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งรถยนต์คันนี้ก็นิยมนำไปปรับแต่งกันอยู่ที่ 500-600 แรงม้า โดยที่ยังไม่ได้ใส่ระบบอัดอากาศเข้าไปด้วยซ้ำ
- ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องของโครงสร้างตัวถังที่ Honda NSX คือรถยนต์ที่ใช้โครงสร้างตัวถังอลูมิเนียมเป็นครั้งแรกของโลก ที่หาได้ยากมาก ๆ ในยุคนั้นเพราะด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะนำมาอะลูมิเนียมมาขึ้นรูปให้เป็นโครงสร้างตัวถังรถยนต์นั้นแทบจะไม่มีและเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังต้องแลกมากับความเสี่ยง เพราะวัสดุอะลูมิเนียมด้วยนั้นมีความแข็งแกร่งทนทานที่น้อยกว่าเหล็ก แต่แนวคิดนี้ไม่ใช่สำหรับวิศวะกร Honda เพราะอะไรที่มันดูเป็นไปไม่ได้มันยิ่งหน้าท้าทายยิ่งนัก คราวนี้ทางผู้ผลิตจึงได้ศึกษาในเรื่องอะลูมิเนียมอย่างจริงจังโดยไปเจอกับยานพาหนะที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นโครงสร้างด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือรถไฟความเร็วสูงอย่าง Shinkansen นั่นเอง ทางผู้ผลิตจึงไม่รอช้าที่จะลุยโปรเจกโดยการสร้างตัวถองของ NSX ขึ้นมา 2 คัน โดยหนึ่งคันใช้เหล็กหนึ่งคันใช้อะลูมิเนียมปรากฎว่า คันที่เป็นอะลูมิเนียมมีน้ำหนักเบามากกว่าอีกคันถึง 200 กิโลกรัม และ ที่สำคัญวัสดุตัวนี้ยังไม่เป็นสนิมอีกด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ Honda NSX มีการควบคุมที่ดีไม่แพ้ Ferrari และ Porsche เลย
- สำหรับข้อนี้ถ้าไม่พูดถึงก็คงเสียดายแย่ อีกหนึ่งส่วนที่ช่วยเสริมให้รถยนต์คันนี้มีสมรรถนะเทียบเท่า Supercar หรือรถแข่งในสนามเลยก็คือ การได้นักแข่งดีกรีมือหนึ่งของโลกอย่าง ไอร์ตัน เซนนา แชมป์โลก F1 3 สมัย ผู้ล่วงลับ มาเป็นคนปรับจูนตั้งค่าด้วยทดลองขับด้วยตนเอง เพราะตัวไอร์ตันเองนั้นเห็นทีจะเป็นหนึ่งในทีมวิศวะกรที่ร่วมพัฒนารถยนต์คันนี้ด้วย ในฐานะนักขับทดสอบที่เพียงลองขับครั้งแรกนั้น เจ้าตัวก็ลงมาบอกถึงปัญหาต่าง ๆ เช่น ว่ารถยนต์คันนี้ยังมีบอดี้กับช่วงล่างที่ยังความแข็งแรงไม่เพียงพอ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ Honda นั้นกลับไปแก้โจทย์ต่าง ๆ โดยการเพิ่มจุด Spot ที่เป็นการเพิ่มความหนาของบอดี้ในส่วนต่าง ๆ ช่วยให้รถมีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นได้ครึ่งต่อครึ่งเลย แถมตัวช่วงนั้นก็ปรับตั้งค่าให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากขึ้นช่วยให้รองรับการเข้าโค้งบนความเร็วสูงได้ดี พอ ๆ กับรถแข่ง F1 ของทีมในยุค 90 เลย จึงไม่แปลกที่ทำไมรถยนต์คันนี้ถึงอยู่คนละระดับกับ
- สำหรับการออกแบบของรถยนต์คันนี้ จะมากับรูปร่างที่เตี้ยแบนดูราบไปกับพื้นถนน ซึ่งจะช่วยให้ตัวรถนั้น Aerodynamic ที่ดีมากที่สุด โดยเฉพาะบนความเร็วสูง รถยนต์คันนี้จะถูกออแบบมาให้เตี้ยที่สุด กว้างที่สุด และ แบนมากที่สุด ซึ่งความพิเศษของในรุ่นนี้คือการได้ต้นแบบ แรงบันดาลใจมากจากเครื่องบินขับไล่ F16 โดยเฉพาะในส่วนของหลังคาที่ปกคลุมห้องโดยสาร ให้มีความลู่ลมเพื่อลดแรงต้านจากอากาศให้ได้มากที่สุด ที่จะใช้หลังคาเป็นทรงโดมปกคลุมห้องโดยสาร ซึ่งการทฤษฎีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากโดยจะต้องยกเครดิทให้กับ คุณชิเกรุ อุเอะฮาระ ที่ได้ผลักดันไอเดียนี้เข้ามาใช้ ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์แล้ว ตัวนักแข่งที่เป็นผู้ทดสอบเองก็ยังบอกว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถสปอร์ตที่มีทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมที่สุดของยุคสมัยไปเลย
สรุป
และก่อนลาจากกันในครั้งนี้ก็ขอเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย สำหรับชื่อ NSX นั้นไม่ได้เป็นแค่ตัวอักษรที่เรียงกันให้ดูเท่ห์เพียงเท่านั้น โดยตัว N นั้นจะย่อมาจากคำว่า New ส่วนตัว S หมายถึง Sportcar ส่วน X นั้นก็คือ Experimental ที่ทางผู้ผลิตต้องการบอกว่า รถยนต์ Honda NSX-R รถสปอร์ตเครื่องวางกลางคันแรกของแบรนด์ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น Ferrari ของญี่ปุ่น คันนี้ นั้นเกิดขึ้นมาจากการทดลองนั่นเอง จึงทำให้ Honda NSX รุ่นเริ่มต้นนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจ จนปล่อยผ่านไม่ได้จึงหยิบนำมาเขียนเป็นบทความ ชวนให้คนที่ชื่นชอบและหลงไหลได้เข้ามาอ่านอย่างสนุกและเพลิดเพลินตลอดทุกเรื่องราว และ สำหรับในปี 2017 ที่ผ่านมา ทางผู้ผลิตอย่าง Acura ที่เปรียบเสมือนแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงของ Honda ก็ได้เปิดตัว Acura NSX โฉมใหม่ออกมาที่มาพร้อมกับขุมพลัง V10 กับ ราคาค่าตัวที่แตะ 30 ล้านกันเลย ซึ่งถ้าหากผู้ชมท่านใดชื่นชอบบทความเรื่องนี้ โปรดกดแชร์เป็นกำลังใจให้กับเว็บไซด์ mywonderwheel ของเราหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ