เรียกได้ว่าเป็นระยะเวลากว่า 24 ปีแล้วที่ McLaren ไม่สามารถหารถยนต์มาทำลายสถิติความเร็วของรุ่น McLaren F1 ได้ จนมาถึงในปี 2019 โดยทางผู้ผลิตก็ได้ประกาศเปิดตัวรถยนต์ Prototype รุ่นใหม่ของแบรนด์ อย่างรถยนต์ McLaren Speedtail รถยนต์ Hyper Car รุ่นใหม่ ที่จะมาสืบทอดตำนานของรุ่น F1 โดยตรง ด้วยการสร้างสถิติใหม่เข้ามาแทนที่ คันนี้ มาในฐานะรถยนต์ Hyper-GT คันแรกของค่าย และ สามารถทำ Top Speed ได้สูงที่สุดมากกว่าที่รถยนต์ของ McLaren เคยทำได้ ซึ่งหลาย ๆ คนก็อาจจะสงสัยว่ารุ่นที่สานต่อตำนานของ McLaren F1 นั้นไม่ใช่ในรุ่น P1 แต่กลับเป็นรุ่นนี้แทนทั้งที่ชื่อก็ไม่ได้เหมือนกันแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่รถยนต์รุ่นนี้มีเหมือนกับรุ่น F1 ที่ P1 ไม่มีจะเป็นในเรื่องของเบาะนั่งผู้ขับขี่ที่จะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของตัวรถ และ มีเบาะนั่งผู้โดยสาร 2 ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เพียงอย่างเดียวที่ไม่มี McLaren คันไหนทำได้ในปัจจุบัน และ จุดประสงค์ในการทำลายสถิติความเร็วที่ทะลุไปเกิน 400 กิโลเมตร ซึ่งเป็นรถยนต์คันแรก และ คันเดียวของแบรนด์ที่สามารถทำความเร็วขึ้นไปถึงระดับนี้ได้ สำหรับรถยนต์คันนี้ยังมีรายละเอียดและสิ่งน่าสนใจอีกมากที่เราได้นำมาฝากทุกท่่านกันในวันนี้ ถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมกันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : McLaren Speedtail
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- มีกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ปรับให้เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับตัวรถมากที่สุด
- มีช่องรับอากาศด้านหน้า ตกแต่งขอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
- มีลิ้นใต้กันชนด้านหน้า แบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องดักอากาศบนฝากระโปรงเพื่อช่วยเสริม Aero Dynamic
- มีสัญลักษณ์ McLaren บนฝากระโปรงด้านหน้า
- มีช่องระบายอากาศบริเวณหลังซุ้มล้อด้านหน้า
- มีไฟหน้าแบบ Matrix Adaptive LED ดีไซน์ใหม่ลักษณ์เดียวกับ Logo แบรนด์ McLaren
- มีไฟหรี่ Daytime Running Light แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED 3 มิติ
- สำหรับในรุ่นนี้จะใช้กระจกมองข้างเป็นกล้องมองภาพ โดยจะซ่อนอยู่ในบอดี้รถด้านข้าง จะเลื่อนออกมาก็ต่อเมื่อเปิดใช้งานเท่านั้น
- ใช้ประตูปีกนกแบบ Twin-Hinged Dihedral Doors
- มี Skirt ด้านข้างแบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์
- มีกันชนด้านหลังดีไซน์ใหม่ใช้เป็นชิ้นเดียวคุมทั้งท้ายรถ เหมือนกับด้านหน้า
- มีช่องระบายอากาศบนกันชนท้ายแบบใหม่ ช่วยเสริม Aero Dynamic ให้กับตัวรถ
- มีดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับดีไซน์ให้อากาศจากใต้ท้องรถไหลผ่านได้ดีที่สุด
- มี Spoiler ด้านหลังแบบ Adaptive สามารถปรับองศาให้ยกขึ้น เพื่อช่วยเป็น Air Brake ในตัวได้
- มีชุดตะแกรงด้านหลังแบบรังผึ้งสีดำ เพื่อเปิดช่องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์
- มีท่อไอเสียเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบบออกกลาง
- มีไฟท้าย LED แบบ Light Gilding อยู่บริเวณด้านล่างของชุดกันชน
- มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ LED 3 มิติ
- มีหลังคาด้านหลัง หรือ แผ่นปิดห้องเครื่อง แบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง และ มาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ 1 ใบ
- มีล้อแม็กซ์ Forged ดีไซน์ใหม่
- ล้อหน้า ขนาดวงล้อ 19 นิ้ว กว้าง 9 นิ้ว
- ล้อหลัง ขนาดวงล้อ 20 นิ้ว กว้าง 11.5 นิ้ว
- มีพร้อมกับยาง Pirelli รุ่น P-Zero
- ใข้ยางหน้าขนาด 235/35 ZR20
- ใช้ยางหลังขนาด 315/30 ZR21
- มาพร้อมกับจานเบรกเซรามิค และ คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ที่สามารถเลือกสีได้
- ตัว Body Part ที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด จะใช้เป็นคาร์บอนไฟเบอร์แบบ 1K Titanium Deposition
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมด 5,173 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทั้งหมด 2,000 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,120 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร
- มีความสูงจากพื้นถึงจุดต่ำสุด 100 มิลลิเมตร
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งหมด 150 ลิตร
- มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 72 ลิตร
- มีน้ำหนักตัวถังเปล่าอยู่ที่ 1,335 กิโลกรัม
- มีน้ำหนักรวมทั้งหมด 1,430 กิโลกรัม
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : McLaren Speedtail
Interior:ภายในรถยนต์
- ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทูโทน สีดำ-ขาว หรือ สามารถ Custom สี และ วัสดุหุ้มเองได้อย่างอิสระ
- มีแผงคอนโซลด้านหน้าสุดล้ำ พร้อมกับชุดหน้าจอแสดงผลแบบ LCD ระบบสัมผัสที่มีมาให้ถึง 3 หน้าจอ โดยจะใช้หน้าจอในจุดกึ่งกลางเป็นชุดมาตรวัด ส่วนหน้าจออีกทั้ง 2 ด้านจะใช้ทำหน้าที่เป็นแผงควบคุมในระบบต่าง ๆ
- มีหน้าจอสำหรับรับภาพจากกล้องคุณภาพสูง ที่ใช้แทนกระจกมองข้าง ส่งตรงเข้ามาแบบ Real Time
- มีพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ โดยที่จะไม่มีปุ่ม ใด ๆ บนพวงมาลัยเช่นเคย
- พวงมาลัยหุ้มด้วย Alcantara สีขาว
- มีปุ่มควบคุมต่าง ๆ บนพวงมาลัย ถูกย้ายไปอยู่บริเวณหัวเข่าทั้ง 2 ด้าน ของคนขับแทน
- มีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift
- ส่วนระบบปรับอากาศจะเป็นแบบอัตโนมัติแบบแยกอิสระ ซ้าย และ ขวา โดยที่จะย้ายแผงควบคุมขึ้นไปไว้ด้านบนแทน และ ช่องแอร์ก็อยู่ด้านบนด้วยเช่นกัน และ นอกจากระบบปรับอากาศที่ย้ายขึ้นไปด้านบนแล้ว ยังมีอีกหลายส่วนเลยที่ถูกยกขึ้นมาไว้บนเพดานหลังคา ตั้งแต่
- มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานของรถยนต์ได้ถึง 3 รูปแบบ ตั้งแต่
- Comfort
- Sport
- Track
- Verocity ซึ่งจะเป็นโหมดที่เตรียมพร้อมสำหรับการทำความเร็วสูงสุด
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ Traction Control
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ ABS
- มีปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง หรือ Lift Control
- มีปุ่ม Push Start สไตล์สปอร์ตสีแดง
- มีปุ่ม Launch Control
- มีปุ่ม Aero ใช้ปรับองศาของสปอยเลอร์ตามความเร็วรถ
- มีเกียร์อัตโนมัติแบบปรับหมุ่น 3 ตำแหน่ง
- มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานของรถยนต์ได้ถึง 3 รูปแบบ ตั้งแต่
- ในรุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่ถูกถ่ายทอด DNA ของ McLaren F1 ออกมาได้มากที่สุด โดยจะมาพร้อมกับเบาะนั่ง 3 ที่นั่ง แบบเดี่ยวกัน โดยจะเป็นเบาะคนขับที่อยู่บริเวณกึ่งกลาง และ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง ทั้ง 2 ด้าน สามารถกระจายน้ำหนักได้เป็นอย่างดีแม้ในเวลาที่นั่ง 3 คนพร้อมกัน
- เบาะนั่งผู้ขับขี่ เป็นแบบ Full Bucket Seat สไตล์รถแข่ง สามารถปรับตำแหน่งได้ด้วยระบบไฟฟ้า
- เบาะนั่งผู้ขับขี่จะเป็นใบเดียวที่มีโครงสร้างมาให้ ส่วนเบาะนั่งของผู้โดยสารทั้ง 2 จะเป็นเพียงเบาะที่นำมาติดเข้ากับตัวถังรถเท่านั้น สาเหตุที่ไม่ใส่โครงสร้างเข้ามาให้ด้วย ก็เพราะต้องการให้ได้น้ำหนักที่เบาที่สุดเหมือนกับ McLaren F1
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- มีชุดหน้าจอเครื่องเล่นแบบ LCD ระบบสัมผัส Touchscreen รวมเป็นชุดเดียวกับชุดหน้าจอมาตรวัด
- รองรับวิทยุ FM/AM CD/DVD และ MP3
- มีระบบเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth
- รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto
- มีช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX
- มีระบบนำทาง Navigation System
- มีลำโพง 8 ตำแหน่ง จาก Bowers & Wilkins
เครื่องยนต์รถยนต์ : McLaren Speedtail
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซิน Twin Turbo ขนาด 4.0 ลิตร 3,998 ซีซี รหัส M840TR ใช้เทอร์โบแบบ Twin Electrically-Actuated Twin Scroll Turbochargers Dry Sump พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าพลังงาน Hybrid และ ได้ปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ไส้ในใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ได้น้ำหนักเบาลง และ ทนทานต่อแรงม้าแรงบิดได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ได้พละกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 1,050 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 1,150 นิวตันเมตร ที่ 5,500-6,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง รองรับเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น และ มีตัวเลขจากโรงงานดังนี้
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 3.0 วินาที
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.6 วินาที
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 14.6 วินาที
- มีความเร็วสูงสุด หรือ Top Speed อยู่ที่ 403 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- มีเวลา Quarter Mile ¼ หรือ สนามคลอง 5 บ้านเรา อยู่ที่ 10.0 วินาทีเท่านั้น
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 100 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 28 เมตร ในเวลา 2.8 วินาที
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 200 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 114 เมตร ในเวลา 4.5 วินาที
- มีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 357 กรัม ต่อ 1 กิโลเมตร
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : McLaren Speedtail
Frame & Suspension : โครงสร้างตัวถัง และ ช่วงล่าง
- ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Monoclock Full Carbon Fibre เป็นการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคันทำให้ตัวโครงสร้างมีน้ำหนักเบา และ ทนทานมากเป็นพิเศษ รองรับการใช้งานบนความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี
- มีระบบกันสะเทือนด้านหน้า และ ด้านหลัง เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ แบบพิเศษ ที่มาพร้อมกับระบบ Proactive Damping Control ที่ช่วยปรับการทำงานตามสภาพพื้นถนน และ ลักษณะในการขับขี่ตามโหมดต่าง ๆ
- มีระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ พวงมาลัยพาวเวอร์กึ่งไฟฟ้า แบบ Electro-Mechanical Power Steering
- มีระบบเฟืองท้ายแบบ Racing Differential
- มีระบบบังคับเลี้ยวแบบพิเศษ ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
- มีระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 390 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 Pot
- มีระบบห้ามล้อด้านหลังเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 Pot
Safety:ระบบความปลอดภัย
- มีระบบ IPAS ช่วยสั่งการให้มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพละกำลังให้เครื่องยนต์ได้เร็ว และ มากขึ้น
- มีระบบ DRS ช่วยควบคุม Adaptive Spoiler ด้านหลัง เพื่อเสริมสมรรถนะได้หลากหลายรูปแบบ
- มีระบบ Launch Control ช่วยล็อครอบในการออกตัว
- มีระบบ ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้สม่ำเสมอกัน
- มีระบบ BA ช่วยเสริมแรงเบรกให้กับล้อทั้ง 4
- มีระบบ ESC ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว
- มีระบบ TRC ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถล และ ช่วยไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีโดยไม่จำเป็น
- มีระบบ DBL ช่วยเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้ทันทีเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ HSA ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- มีระบบ HDC ช่วยชะลอความเร็วรถยนต์ในเวลาลงทางลาดชัน
- มีระบบ TPLW ช่วยแจ้งเตือนเมื่อลมยางมีแรงดันที่ผิดปกติ
- มีกล้องมองภาพรอบคันรถแบบ 360 องศา
- มีถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- มีม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
จุดเด่นของรถยนต์ : McLaren Speedtail
สำหรับจุดเด่นของรถยนต์คันนี้ในส่วนแรกที่จะต้องพูดถึงคือเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ที่มากับรูปร่างหน้าตาสุดล้ำ เป็นรถยนต์ Hyper Car ที่อาจจะมีขนาดตัวถังที่ยาวที่สุดเลยก็ว่าได้ สมกับชื่อรุ่นอย่าง Longtail ที่แปลว่าหางยาวจริง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นรถยนต์ที่มีเรื่องของ Aero Dynamic สมรรถนะสูงที่อยู่ในระดับเดียวกับเครื่องบินเลย ช่วยให้การวิ่งบินความเร็ว 400 กิโลเมตรยังคงนิ่งติดพื้นได้แบบไม่มีปัญหา ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องการออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่จะจัดสรรพื้นที่ให้คนขับและผู้โดยสารอยู่ในจุดกึ่งกลางของตัวรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่มีสมดุลดีที่สุด ในเวลาที่ใช้ความเร็วสูง สำหรับเบาะนั่งทั้ง 3 จะมีเบาะนั่งคนขับเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะใช้เป็นเบาะแบบมีโครงสร้าง ส่วนเบาะนั่งทั้ง 2 จะเป็นการนำเบาะมาวางบนตัวถังเฉยเพื่อลดน้ำหนักให้กับตัวรถมากที่สุด ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องของขุมพลังเครื่องยนต์ที่มากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซินทวินเทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตรตัวแรงของทางค่าย ผสมการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เรียกพละกำลังได้สูงสุดถึง 1,050 แรงม้าเลย แถมยังมากับแรงบิดที่สูงถึง 1,150 นิวตันเมตร พร้อมอัดแน่นไปด้วยระบบความปลอดภัยสมรรถนะสูง ใส่เข้ามาให้
สรุปรถยนต์ : McLaren Speedtail
สำหรับรถยนต์คันนี้ก็ได้รับการประกาศขึ้นแท่นให้เป็นรถยนต์ที่เร็วและแรงที่สุดของแบรนด์ McLaren คันแรกที่สามารถทำ Top Speed สูงสุดได้มากถึง 403 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ ยังทำสถิติเป็นรถยนต์ Hyper Car 3 ที่นั่ง ที่เร็วที่สุดในโลก เป็นรถที่ถูกสร้างมาเพื่อสืบทอดการเป็นตำนานความแรงของ McLaren ต่อจากรุ่น F1 และถือว่าเป็นรุ่นที่มี DNA เหมือนกับรุ่น F1 มากที่สุด รวมถึงเป็นรถยนต์ที่ยังมีค่าแรงเสียดทานที่น้อยที่สุดของแบรนด์ McLaren อีกด้วย ถูกจัดให้อยู่ในคลาสของ Ultimate Series และ สำหรับสุดยอดยนต์กรรมคันนี้ ก็ถูกจำกัดการผลิตไว้เพียง 106 คันเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีคนไทยเป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน
รถยนต์ McLaren Speedtail มีทั้งหมด 36 สี
ราคารถยนต์ : McLaren Speedtail
รถยนต์ McLaren Speedtail ราคา 70,000,000 บาท (โดยไม่รวมภาษี)
Link ซื้อรถยนต์ : McLaren Speedtail
https://bangkok.mclaren.com/en
เรียกได้ว่าสิ้นสุดการรอคอยและเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของแบรนด์ McLaren ที่สามารถสร้างรถยนต์ที่มาทำลายสถิติความเร็วของรุ่นในตำนานอย่าง F1 ลงได้ซึ่งก็ใช้เวลากว่า 24 ปีเลยทีเดียว กว่าจะมีการเปิดตัว รถยนต์ McLaren Speedtail รถยนต์ Hyper Car รุ่นใหม่ ที่จะมาสืบทอดตำนานของรุ่น F1 โดยตรง ด้วยการสร้างสถิติใหม่เข้ามาแทนที่ คันนี้ออกมา นั่นก็ด้วยขีดจำกัดทางด้านเทคโนโลยีในสมัยก่อน แต่ในปัจจุบันด้วยระบบไฟฟ้าที่มีเข้ามา ก็ช่วยให้ตำนานบทใหม่ของ McLaren ได้ถือกำเนิดขึ้น สำหรับวันนี้ทาง ก็ต้องขอตัวลาท่านผูชมทุกท่านไปก่อน ส่วนในครั้งหน้าจะเป็นบทความเรื่องอะไร โปรดติดตามกันด้วยนะครับ