สำหรับแบรนด McLaren ในปัจจุบันถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามารถสร้างปรากฎการให้กับวงการรถยนต์ได้ในทุก ๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่อยู่ ในคลาส Super Car หรือ Ultimate ก็จะเป็นรถยนต์ที่สร้างความโดดเด่นที่แปลกใหม่ให้กับวงการรถยนต์ด้วยกันทั้งสิ้น มาในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบกับรถยนต์ McLaren Elva รถยนต์ Hyper Car รุ่นล่าสุดของแบรนด์ ที่มากับเทคโนโลยีอัจฉริยะเฉพาะตัว ในโควต้า 149 คันทั่วโลก คันนี้ โดยจะเป็ํนรุ่นล่าสุดของคลาส Ultimate Car ด้วย โดยจะเป็นรถยนต์ Hyper Car 2 ที่นั่ง ที่ไม่มีหลังคาและกระจกหน้า แต่ด้วยเทคโนโลยีของ McLaren จึงทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องรับแรงปะทะจากลมด้านหน้าได้ โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะช่วยส่งอากาศขึ้นไปด้านบนและด้านข้างของตัวรถแทน แน่นอนว่าเป็นรถยนต์ระดับ Hyper Car ก็ต้องมีพละกำลังที่เกิน 800 แรงม้าขึ้นไป และ มากับเทคโนโลยีระดับสูงที่เฉพาะตัว ซึ่งรถยนต์คันนี้ก็มีคุณสมบัติทั้งหมดของรถยนต์ Hyper Car ซึ่งจะมีรายละเอียดและสิ่งสำคัญทั้งหมดอย่างไรบ้าง เราไปรับชมพร้อม ๆ กันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : McLaren Elva
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- มีกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ใช้เป็นชิ้นเดียวคุมด้านหน้าของตัวรถ
- มีช่องรับอากาศด้านหน้าใต้กันชน ตกแต่งขอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
- มีช่องระบายอากาศบนฝากระโปรงด้านหน้า พร้อมกับตัวเบี่ยงลมที่สามารถยกขึ้นเพื่อกันลมที่ได้รับมาจากช่องด้านล่างส่งขึ้นไปด้านบน เพื่อไม่ให้ประทะเข้าห้องโดยสาร ทำให้กลายเป็นเหมือน Bubble กันลมแทนหลังคาและกระจกด้านหน้า ช่วยให้ลมไหลผ่านเหนือศีรษะของผู้ขับขี่และผู้โดยสารผ่านไปได้อย่างลื่นไหลในทุกระดับความเร็ว
- มีลิ้นใต้กันชนด้านหน้าทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Winglets คาร์บอนไฟเบอร์ด้านข้างของกันชนหน้า
- มีช่องรับอากาศด้านหน้าของโปร่งซุ้มล้อด้านหลัง เพื่อส่งตรงเข้าไปให้กับเครื่องยนต์และระบบอัดอากาศ
- มีโครมไฟหน้าสีดำ
- มีไฟดีไซน์ใหม่ หน้าแบบ Matrix Adaptive LED
- มีไฟหรี่ Daytime Running Light แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED 3 มิติ
- มีฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องดักอากาศบนฝากระโปรงเพื่อช่วยเสริม Aero Dynamic
- มีสัญลักษณ์ McLaren บนฝากระโปรงด้านหน้า
- มีกระจกมองข้างสไตล์สปอร์ต ปรับลดแสงอัตโนมัติ
- ตัวกระจกปรับองศาได้ด้วยระบบไฟฟ้า
- ใช้ประตูปีกนกแบบ Twin-Hinged Dihedral Doors ที่เข้าออกได้ง่ายมากขึ้นเพราะไม่มีหลังคา
- มี Skirt ด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ
- ไม่มีหลังคา และ กระจกบังลมด้านหน้า ( แต่สำหรับในบางประเทศจะเป็นรุ่นที่มีกระจกบังลมด้านหน้า เพื่อรองรับกับกฎหมายของประเทศนั้น ๆ )
- มีกันชนด้านหลังดีไซน์ใหม่ใช้เป็นชิ้นเดียวคุมทั้งท้ายรถ เหมือนกับด้านหน้า
- มีช่องระบายอากาศบนกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ช่วยเสริม Aero Dynamic ให้กับตัวรถ
- มีดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
- มีชุดตะแกรงด้านหลังแบบรังผึ้งสีดำ เพื่อเปิดช่องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์
- มีท่อไอเสียคู่ วางขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของตัวรถ ช่วยให้เสียงต่ำ
- มีท่อไอเสียคู่ อยู่ด้านบนปลายท่อแหงนขึ้นฟ้า ช่วยให้เสียงสูง
- มี สปอยเลอร์ด้านหลังแบบ Adaptive ทำงานอัตโนมัติ พร้อมช่วยเป็น Air Brake ได้ในตัว
- มีสัญลักษณ์ McLaren อยู่กึ่งกลางระหว่างท่อไอเสีย
- มีไฟท้าย LED แบบ Light Gilding
- มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ LED 3 มิติ
- มีช่องระบายอากาศให้กับเทอร์โบ และ เครื่องยนต์ บนฝากระโปรงด้านท้าย
- มีล้อแม็กซ์ Forged ดีไซน์ใหม่ คู่หน้า ขนาด 19 นิ้ว คู่หลัง ขนาด 20 นิ้ว
- มีพร้อมกับยาง Pirelli รุ่น P-Zero
- ใข้ยางหน้าขนาด 245/35 R19
- ใช้ยางหลังขนาด 305/30 R20
- มาพร้อมกับจานเบรกเซรามิค และ คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ที่สามารถเลือกสีได้
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมด 4,611 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทั้งหมด 1,944 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,088 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,669 มิลลิเมตร
- มีความสูงจากพื้นถึงจุดต่ำสุด 100 มิลลิเมตร
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งหมด 100 ลิตร
- มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 65 ลิตร
- มีน้ำหนักรวมทั้งหมด 1,200 กิโลกรัม
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : McLaren Elva
Interior:ภายในรถยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ หรือ สีทูโทน และ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้วัสดุส่วนไหนเป็นหนัง หรือ Alcantara สามารถ Custom ได้หลากหลายอิสระ
- ตกแต่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้านในด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์
- มีพวงมาลัยแบบ 3 ก้านสไตล์สปอร์ต ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ โดยจะเป็นพวงมาลัยที่ไม่มีปุ่มอะไรเลยซึ่งเป็นเสน่ห์อีกแบบที่ Mclaren นั้นตั้งใจทำออกมา โดยจะย้ายปุ่มควบคุมต่าง ๆ บนพวงมาลัยไปอยู่บริเวณหัวเข่าทั้ง 2 ด้าน ของคนขับแทน
- มีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift
- มีชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT Full Digital ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันรูปแบบการทำงานได้อย่างหลากหลาย ตามโหมดการขับขี่ที่เลือก ซึ่งจะคอยบอกรายละเอียดทุก ๆ อย่างได้อย่างครบถ้วน
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ ซ้าย และ ขวา แบบ ระบบสัมผัส Touch Screen
- ย้ายตำแหน่งของช่องแอร์ ให้มาอยู่ด้านล่างของห้องโดยสาร บริเวณคอนโซลกลาง
- มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานของรถยนต์ได้ถึง 3 รูปแบบ ตั้งแต่
- Comfort
- Sport
- Track
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ Traction Control
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ ABS
- มีปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง หรือ Lift Control
- มีปุ่ม Push Start สไตล์สปอร์ตสีแดง
- มีปุ่ม Launch Control
- มีปุ่ม Aero ใช้ปรับองศาของสปอยเลอร์ตามความเร็วรถ
- มีเกียร์อัตโนมัติเป็นปุ่มกดแบบ คันโยก 3 ชั้น สไตล์สปอร์ต
- มีช่องเชื่อมต่อ USB 1 ตำแหน่ง
- มีที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
- มีเบาะนั่งสไตล์ Sport Bucket Seat 2 ที่นั่งแบบทูโทน สามารถตกแต่งได้หลากหลาย ตั้งแต่วัสดุหุ้ม ไปจนถึงเฉดสี และ ลวดลาย
- เบาะนั่งทั้งหมดปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- มีชุดหน้าจอเครื่องเล่นแบบ LCD ระบบสัมผัส Touchscreen แนวตั้ง ขนาด 7 นิ้ว
- รองรับวิทยุ FM/AM CD/DVD และ MP3
- มีระบบเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth
- รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto
- มีช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX
- มีระบบนำทาง Navigation System
- มีลำโพง 12 ตำแหน่ง จาก Bowers & Wilkins โดยจะมีบางส่วนถูกย้ายมาอยู่ตรงด้านข้างพนักพิงศีรษะ
เครื่องยนต์รถยนต์ : McLaren Elva
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซิน Twin Turbo ขนาด 4.0 ลิตร 3,994 ซีซี ใช้เทอร์โบแบบ Twin Electrically-Actuated Twin Scroll Turbochargers Dry Sump รหัส M840TR สามารถเรียกพละกำลังสูงสุดได้มากถึง 815 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที และ มีแรงบิดอยู่ที่ 800 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ Dual Clutch 7 สปีดแบบ Reverse SSG ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง รองรับเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น และ มีตัวเลขจากโรงงานดังนี้
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 2.8 วินาที
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.8 วินาที
- มีความเร็วสูงสุด หรือ Top Speed อยู่ที่ 326 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 100 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 29 เมตร
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 200 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 116 เมตร
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : McLaren Elva
Frame & Suspension : โครงสร้างตัวถัง และ ช่วงล่าง
- ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Mono Clock Full Carbon Fibre เป็นการใช้โครงสร้างตัวถังแบบ คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน รวมไปถึงชุดแฟริ่งรอบคันรถด้วย ทำให้รถคันนี้กลายเป็นรถยนต์ที่น้ำหนักเบาที่สุดของ McLaren
- มีระบบกันสะเทือนด้านหน้า และ ด้านหลัง เป็นแบบอิสระ Double Wishbone ที่มาพร้อมกับระบบ Adaptive Damper , Proactive Chassis Control II ที่ช่วยปรับการทำงานตามสภาพพื้นถนน และ ลักษณะในการขับขี่ตามโหมดต่าง ๆ
- มีระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ พวงมาลัยพาวเวอร์กึ่งไฟฟ้า แบบ Electro-Mechanical Power Steering
- มีระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 390 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 Pot
- มีระบบห้ามล้อด้านหลังเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 Pot
Safety:ระบบความปลอดภัย
- มีระบบ AAMS หรือ ระบบ Active Air Manegement System ( ในภาพด้านบน ) ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่ติดตั้งระบบนี้ในรถยนต์ โดยจะเป็นระบบจัดการอากาศของตัวรถ ที่จะใช้ช่องรับอากาศบริเวณกันชนด้านล่าง รับอากาศส่งออกมาผ่านช่องระบายอากาศด้านบน ที่เต็มไปด้วยใบพัด และ ตัวตะแกรง ที่ทำจากวัสดุคาร์บอน ช่วยให้อากาศถูกระบายออกไปด้านบนในรัศมี 130 องศา รวมไปถึง Winglets บนฝากระโปรง และ กระจกมองข้างที่จะคอยดันอากาศไปด้านข้าง ทำให้เกิดเป็นเหมือนห้องฟองอากาศที่ช่วยกันลมให้กับผู้โดยสารแทนกระจก และ หลังคา ซึ่งระบบนี้ก็จะเริ่มทำงานตั้งแต่ความเร็ว 50-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากต้องการใช้ความเร็วที่เกินไปกว่านั้น ทางผู้ผลิตก็จะบอกให้คุณใส่หมวกกันน็อคนั่นเอง
- มีระบบ ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้สม่ำเสมอกัน
- มีระบบ BA ช่วยเสริมแรงเบรกให้กับล้อทั้ง 4
- มีระบบ CBC ช่วยควบคุมการกระจายแรงเบรกในขณะเข้าโค้ง
- มีระบบ DBC ช่วยควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน
- มีระบบ ESC ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว
- มีระบบ TRC ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถล และ ช่วยไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีโดยไม่จำเป็น
- มีระบบ DBL ช่วยเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้ทันทีเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ HSA ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- มีระบบ HDC ช่วยชะลอความเร็วรถยนต์ในเวลาลงทางลาดชัน
- มีระบบ TPLW ช่วยแจ้งเตือนเมื่อลมยางมีแรงดันที่ผิดปกติ
- มีกล้องมองภาพรอบคันรถแบบ 360 องศา
- มีถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- มีม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
จุดเด่นของรถยนต์ : McLaren Elva
สำหรับจุดเด่นของรถยนต์คันนี้นั้นก็มีอยู่ทุกด้านเลยจริง ๆ โดยจะเริ่มตั้งแต่ดีไซน์การออกแบบที่ในรุ่นนี้ใช้โครงสร้างตัวถัง และ บอดี้ทั้งหมด ด้วยวัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์รอบคัน ซึ่งในแต่ละสีก็จะเป็นการไล่ระดับสีที่เลือกในด้านหน้าค่อย ๆ กลายไปเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ในด้านท้าย และ ด้วยการที่ไม่มีหลังคาและกระจกหน้าจึงต้องมีการปรับรูปร่างให้ตัวรถมี Aero Dynamic ที่ดีกว่าใคร ด้วยระบบ AAMS ที่จะคอยดูดอากาศจากกันชนหน้าส่งออกบนช่องระบายอากาศด้านบน ผ่านใบพัด และ ตัวดักอากาศแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยให้อากาศถูกส่งออกไปในทิศทางที่ต้องการสามารถสร้างเป็นห้อง Buble ขนาดใหญ่ให้กับผู้โดยสาร ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องของขุมพลังโดยจะมากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซินทวินเทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตร 815 แรงม้า กับ แรงบิด 800 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ในเวลา 2.8 วินาที มาพร้อมกับช่วงล่างและเบรกสมรรถนะสูง รวมไปถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามา ช่วยทำให้รถยนต์พละกำลัง 815 แรงม้า คันนี้ขับง่ายเหมือนกับรถ Sport ทั่วไป
สรุปรถยนต์ : McLaren Elva
สำหรับรถยนต์ที่ไม่มีกระจกหน้า และ หลังคานั้น เราก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยและพบเห็นกันมาบ้างแล้วในสนามแข่ง แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีค่ายไหนที่ผลิตรถยนต์แบบนี้ออกมาให้ใช้งานบนท้องถนนกันเลย ซึ่งนั่นก็เป็นการสร้างอีกหนึ่งความท้าทายให้กับ McLaren ที่จะทำรถยนต์แบบนี้ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งจะเป็นรูปแบบที่เคยใช้ในรถแข่งของแบรนด์ในอดีต นำมาพัฒนาให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ พร้อมกับสมรรถนะขั้นสูงที่หาได้ยากจะแบรนด์รถยนต์ค่ายไหน ๆ ซึ่งจากเสียงของผู้ที่ได้ Test Drive กันมาแล้วต่างก็ตอบกันเป็นเสียงเดียวว่า รถยนต์คันนี้ขับง่ายเกินสมรรถนะที่มี ถึงแม้ใช้ความเร็วสูงก็ไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป ซึ่งราคาก็ดูเหมาะสำหรับการเป็นของเล่นคนรวยจริง ๆ
รถยนต์ McLaren Elva สามารถ Custom สีได้อย่างอิสระ ตัวอย่างดังนี้
ราคารถยนต์ : McLaren Elva
รถยนต์ McLaren Elva ราคา 200,000,000 บาท
Link ซื้อรถยนต์ : McLaren Elva
https://bangkok.mclaren.com/en
Video Review : McLaren Elva
สำหรับรถยนต์คลาส Ultimate ของแบรนด์ McLaren ต่างก็เป็นรถยนต์ Hyper Car ที่มีคุณสมบัติ และ เอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวด้วยกันทุกคัน ซึ่งรถยนต์ McLaren Elva รถยนต์ Hyper Car รุ่นล่าสุดของแบรนด์ ที่มากับเทคโนโลยีอัจฉริยะเฉพาะตัว ในโควต้า 149 คันทั่วโลก คันนี้เอง ก็จะเป็นรุ่นล่าสุด และ เป็นคันที่ 4 ของคลาสนี้ โดยจะเป็นรถ Hyper Car ที่มีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวด้วยเช่นกัน โดยจะเป็นรถยนต์ที่ไม่มีหลังคาและกระจกหน้า แต่ผู้ขับขี่ และ ผู้โดยสารจะไม่ถูกแรงปะทะจากลมอย่างแน่นอน หากใช้ความเร็วไม่เกิน 200 กิโลเมตร หากใช้เกินนั้น หรือ ขับขี่ในสนามแข่ง ก็จำเป็นต้องใส่หมวกกันน็อคเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าท่านคิดว่าซื้อรถ 200 ล้านขนาดนี้ยังต้องไปซื้อหมวกกันน็อคอีก ซึ่งทางผู้ผลิตก็คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงได้แถมหมวกกันน็อคมาให้ด้วย mywonderwheel