ถ้าหากถามว่ารถยนต์รุ่นไหนของ Ferrari เป็นรุ่นแรกที่ได้นำพลังงานไฟฟ้าเข้ามาช่วยในเครื่องยนต์ ก่อนที่จะมาใช้ระบบปลั๊กอินไฮบริดเหมือนในปัจจุบัน ก็จะเป็น Ferrari LaFerrari รถยนต์ Hyper Car ที่จะมาสานต่อตำนานของ Ferrari Enzo กับขุมพลังไฮบริดครั้งแรกของแบรนด์ คันนี้ ซึ่งกลายเป็น Hyper Car คันแรกเริ่มที่ได้ใช้พลังงานไฟฟ้าจนทำให้ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นสูงกว่า 950 แรงม้าเลย ยังสามารถทำความเร็วได้เกิน 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงทำให้รถยนต์คันนี้เป็นรุ่นที่เร็วที่สุดของแบรนด์ตั้งแต่ในวันที่เปิดตัวเลย รวมถึงยังการมาของระบบไฮบริดยังทำให้ รถ Hyper Car ระดับเกือบ ๆ 1,000 แรงม้าคันนี้ มีอัตราการปล่อยมลพิษที่น้อยมาก ๆ เพียง 330 กรัม ต่อ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งรถยนต์คันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เป็นหนึ่งในลูกรักและความภาคภูมิใจของแบรนด์ Ferrari โดยจะเป็นรุ่นที่สร้างสถิติใหม่ ๆ และ ขึ้นไปคว้ารางวัลให้กับแบรนด์ Ferrari ได้อย่างมากมาย ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งหมดอย่างไรบ้าง เราไปรับชมกันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : Ferrari LaFerrari
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- สำหรับดีไซน์การออกแบบ ของรถ Hyper Car 2 ที่นั่ง 2 ประตูแบบสไตล์ปีกนก โดยจะมากับรูปร่างที่เตี้ยเพรียวลมมาก ๆ ซึ่งถ้าเรามีความสูง 180 ไปยืนเทียบรถคันนี้จะมีความสูงแค่เอวคุณเท่านั้น นั่นก็เพื่อให้ได้หลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด โดยจะได้แรงบรรดาลใจมาจากรถยนต์ Hyper-Car ระดับตำนานอย่าง Ferrari Enzo แต่ในรุ่นนี้จะเต็มไปด้วย Winglets และ ชุดแต่งตามส่วน ๆ ต่าง ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด รวมไปถึง Spoiler ด้านหลังแบบ Adaptive ที่จะปรับองศาขึ้น-ลงอัตโนมัติ กับ เส้นสายตามส่วนต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยี Aerodynamic สมัยใหม่ใส่เข้ามามากขึ้น เพื่อให้รถยนต์คันนี้เป็นรถที่สวยและเร็วที่สุดของแบรนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นรุ่นที่ทำ 0-300 ได้เร็วที่สุดแล้ว ยังเป็นรุ่นที่ได้รับรางวัล European Automotive Design Award ประจำปีไปอีกด้วย ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับนักออกแบบรถยนต์ชาวอิตาลี่ อย่าง Flavio Manzoni กับเหล่าทีมงานที่ร่วมกันสร้างรถยนต์คันนี้ออกมา
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมด 4,702 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทั้งหมด 1,992 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,116 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร
- มีระยะห่างจากพื้น 100 มิลลิเมตร
- มีน้ำหนักตัวถัง 1,585 กิโลกรัม
- มีล้อแม็กซ์ขนาด 19 นิ้ว ด้านหน้า และ 20 นิ้วในด้านหลัง
- มียางหน้าขนาด 265/30 R19
- มียางหลังขนาด 345/30 R20
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : Ferrari LaFerrari
Interior:ภายในรถยนต์
- ส่วนภายในห้องโดยสารของรถยนต์คันนี้ จะมากับสีทูโทนโดยจะเปิดตัวมาในสีแดงดำ ที่ภายในจะหุ้มด้วยหนังสลับ Alcantara ตกแต่งวัสดุและตำแหน่งของอุปกรณ์ด้านในสไตล์รถแข่ง โดยจะใช้วัสดุหลักเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด โดยเฉพาะในแท่นเกียร์ที่ออกแบบมาเป็นสะพานแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ในตอนนี้ Ferrari สงวนใช้เฉพาะใน Hyper Car รุ่นพิเศษเท่านั้น ในพื้นที่ด้านหน้าของผู้ขับขี่ โดดเด่นมากับพวงมาลัยแบบ 6 เหลี่ยมดีไซน์ใหม่สไตล์รถแข่ง ที่เต็มไปด้วยปุ่มควบคุมมากมายพร้อมกับไฟ Shift Light ใส่เข้ามาให้ด้านบนของพวงมาลัย แถมตัว Paddle Shift กับพวงมาลัยยังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ด้วย ซึ่งตัวพวงมาลัยจะออกแบบให้มองหน้าจอมาตรวัดได้ชัดเจนมากที่สุด โดยจะใช้เป็นชุดมาตรวัดสไตล์รถแข่ง 3 ช่องเช่นเดิม โดยจะใช้พื้นหลังเข็มวัดรอบเป็นสีเหลืองในจุดกึ่งกลาง พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูล 2 ตำแหน่ง
- ในส่วนของเบาะนั่งจะใช้เป็นแบบ Racing Full Bucket Seat ดีไซน์ใหม่ โดยจะปรับให้นั่งสบายมากขึ้น ซึ่งตัวเบาะสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เป็นหนังล้วน หรือ หนังสลับ Alcantara และ Alcantara ล้วน พร้อมเลือกตกแต่งสีได้อิสระ
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- สำหรับอุปกรณ์ความบันเทิงของรถยนต์คันนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นรถ Hyper Car สมรรถนะรถแข่งเจ้าความเร็วก็ตาม ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในระว่างทางต่าง ๆ มาให้ โดยจะใช้หน้าจอเครื่องเล่นเป็นชุดเดียวกับหน้าจอมาตรวัด โดยควบคุมได้บนแผงควบคุม ตามภาพที่เราแนบไว้ด้านบน และ สามารถเชื่อมต่อ Smart Phone ได้เหมือนกับรถสปอร์ตทั่วไป ที่มีระบบรองรับอย่างครบถ้วน
เครื่องยนต์รถยนต์ : Ferrari LaFerrari
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับรถยนต์คันนี้ เครื่องยนต์เบนซิน V12 N/A ขนาด 6.3 ลิตรแบบเดียวกับ Ferrari F12 ในพละกำลัง 800 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที กับ แรงบิด 700 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาทื โดยนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยเป็นแรงขับเคลื่อน จึงทำให้มีตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 963 แรงม้า จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด พร้อมระบบ Quick Shifter ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 2.4 วินาที , 0-200 ในเวลา 7 วินาที , 0-300 ในเวลา 15 วินาที และ ความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งใกล้เคียงกับ Enzo Ferrari เลย แต่ถึงจะมีความเร็วสูงสุดไม่เทียบเท่า แต่ก็เป็นรถ Hyper Car รุ่นที่เร็วที่สุดตั้งแต่เคยผลิตมา จากการทดสอบเวลาในสนาม Fiorano Test Circuit
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : Ferrari LaFerrari
Safety : ระบบความปลอดภัย
- ในเรื่องของความปลอดภัยเรามาเริ่มจากโครงสร้างตัวถังกันก่อนเลย ซึ่งจากที่เห็นในภาพว่ารถยนต์คันนี้จะมากับตัวถังที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด โดยจะใช้รูปแบบการสร้างแบบ Monocoque ที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว เทคโนโลยีเดียวกับรถแข่ง ที่ทั้งแข็งแรงและน้ำหนักเบา ส่วนระบบช่วงล่างจะมาแบบจัดเต็มกับโช๊คอัพไฟฟ้าหน้าหลังที่สามารถปรับระดับได้อย่างอิสระพร้อมเหล็กกันโครง พร้อมระบบเบรกสมรรถนะสูงจาก Brembo และ รวมไปถึงเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะต่าง ๆ ของ Ferrari อย่างระบบ FDE ที่จะช่วยปรับแรงดันเบรกให้ตัวเบรกทำงานเล็กน้อยในจังหวะยกคันเร่ง บวกกับระบบล้อหลังช่วยเลี้ยวด้วยแล้ว ทำให้รถยนต์คันนี้มีการเข้าโค้งที่เฉียบคมว่องไวมาก ๆ ทำให้สามารถทำเวลาต่อรอบในสนามได้ดีเกินใคร ส่วนระบบ Traction Control เองก็สามารถปรับรูปแบบได้อย่างหลากหลาย ส่วนเซนเซอร์รอบคันกับกล้องมองหลัง และ เทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ใส่เข้ามาให้แบบจัดหนักจัดเต็มกันเลย
สรุปรถยนต์ : Ferrari LaFerrari
สำหรับรถยนต์คันนี้ จะถูกจำกัดการผลิตไว้เพียง 500 คันเท่านั้น ซึ่งเป็นรถยนต์ Hyper Car พลังงาน Hybrid คันแรกของแบรนด์ซึ่งถูกผลิตวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2013 และ จะเรียกว่าเป็นรุ่น Hybrid ที่สวยที่สุดก็ว่าได้เพราะการันตีมากับรางวัลในด้านดีไซน์การออกแบบอย่างรางวัล European Automotive Design Award ประจำปี และ ทำให้ทั้ง 500 คันกลายเป็นรุ่นล้ำค่าที่ราขึ้นไปทุกครั้งที่เจ้าของนำออกมาประมูล
รถยนต์ Ferrari LaFerrari มีทั้งหมด 4 สี
รถยนต์ Ferrari LaFerrari มีสีหลักให้เลือกทั้งหมด 4 สี แต่ถ้าอยากจะ Custom สีเอง ก็สามารถเลือกเป็น Option เสริมได้ โดยจะมากับเฉดสีที่มีให้เลือกได้อย่างอิสระ
ราคารถยนต์ : Ferrari LaFerrari
รถยนต์ Ferrari LaFerrari ราคา 44,900,000 บาท (โดยที่ยังไม่รวมภาษี)
Link ซื้อรถยนต์ : Ferrari LaFerrari
https://www.ferrari.com/en-TH
และสำหรับใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Ferrari ก็ต่างจะทราบกันดีว่า Ferrari LaFerrari รถยนต์ Hyper Car ที่จะมาสานต่อตำนานของ Ferrari Enzo กับขุมพลังไฮบริดครั้งแรกของแบรนด์ คันนี้ ไม่ใช่มีเงินอย่างเดียวก็สามารถซื้อได้ เพราะต้องมีการส่งประวัติโปรไฟล์ให้ทาง Ferrari ตรวจสอบภาพลักษณ์ของผู้ที่จะมาเป็นเจ้าของลูกรักของเขาให้ครบถ้วนเสียก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งฟังดูแล้วคนไทยอย่างเราอาจจะเข้าถึงไม่ได้ แต่ในทุกวันนี้คนไทย Generation ปัจจุบันนี้ ก็มีไม่น้อยที่เป็นระดับโลก และ มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นเจ้าของรถยนต์แบบนี้ได้ ซึ่งก็เชื่อว่าในอนาคตจะมีคนไทยได้เป็นเจ้าของรุ่นพิเศษแบบนี้กันเพิ่มมากขึ้นซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นกันบ้างแล้ว และ หากท่านใดที่ชื่นชอบบทความของเราสามารถติดตามผลงานทั้งหมดของเราได้ที่ mywonderwheel ด้านนี้เลยนะครับ สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไร โปรดติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ
เครดิต : สล็อตแตกง่าย
