เรียกได้ว่าหลังจากที่เปิดตัวรุ่นก่อนหน้านี้อย่า 296 GTB ที่เป็นเครื่องยนต์ V6 แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกของทางค่าย ออกไปได้ไม่นานก็ถือว่่ามีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว จึงไม่รอช้าที่จะเปิดตัว Ferrari 296 GTS รถยนต์ Super Car ขุมพลัง Plug-In Hybrid โฉมเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุด กับพละกำลัง 830 แรงม้า คันนี้ ตามกันออกมาติด ๆ แต่ครั้งนี้จะมาในชื่อ 296 GTS แทน โดยจะไม่ได้นำชื่อ Spider มาใช้เหมือนกับในโฉมเปิดประทุนรุ่นก่อน ๆ เนื่องจากการผลิตโครงสร้างของตัวถังได้ใช้คนละวิธีกัน โดยในครั้งนี้จะมากับโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ที่ใช้หลังคาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์เปิดประทุนแบบพับได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ของแบรนด์ Ferrari ซึ่งนอกจากรถยนต์คันนี้จะมาในโฉมเปิดประทุนแล้ว ก็ยังมีรายละเอียดในบางจุดที่ในรุ่นหลังคาแข็งเองก็ไม่มีเช่นกัน ถ้าพร้อมแล้วเราไปรับชมข้อมูลทั้งหมดพร้อม ๆ กันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- มีกันชนหน้าดีไซน์ใหม่สุดล้ำ แบบเป็นชิ้นเดียวคุมด้านหน้ารถ ตามแบบฉบับรถ Super Car
- มีช่องรับอากาศขนาดใหญ่ใต้กันชนหน้า ตกแต่งขอบด้วยสีดำ
- มีลิ้นหน้า สไตล์ Super Car แบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Emblem แบรนด์ Ferrari แบบ Full Color บนกึ่งกลางของกันชนด้านหน้า อยู่ด้านบนของสัญลักษณ์ม้าพยศ
- มีฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่
- มีโคลมไฟหน้าแบบลมดำ
- มีไฟหน้าแบบ Adaptive LED ดีไซน์ใหม่
- มีไฟหรี่ Daytime Running Light แบบ LED 3 ชั้น
- มีไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED 3 มิติ
- มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- มีระบบ ปรับไฟสูง-ไฟต่ำ ให้อัตโนมัติ
- มีกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ
- กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว
- กระจกมองข้า่งปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า
- มี Skirt ด้านข้างแบบ คาร์บอนไฟเบอร์
- มีช่องรับอากาศบนด้านหน้าของโปร่งซุ้มล้อด้านหลัง
- มีหลังคาเปิดประทุน เป็นหลังคาแข็งแบบคาร์บอนไฟเบอร์ สั่งการด้วยระบบไฟฟ้า ใช้เวลาเปิด-ปิด ไม่เกิน 14 วินาที ในขณะที่รถเคลื่อนในที่ความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- มีกันชนท้ายสไตล์สปอร์ต สีทูโทน ใช้เป็นสีดำ ตัด กับสีตัวรถ
- มีช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ บริเวณกันชนท้าย ปรับรูปทรงให้ช่วยเสริม Aero Dynamic ไปด้วยในตัว
- มีไฟท้าย LED แบบหกเหลี่ยม 4 ดวง
- มีไฟหรี่ด้านท้ายแบบ LED Light Gilding แบบวงแหวน
- มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ LED 3 มิติ
- มีสัญลักษณ์ม้าพยศ Ferrari สีเงินโครเมี่ยม บนชุด Rear Bumper
- มีดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังสไตล์สปอร์ต ใช้วัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีท่อไอเสียคู่แบบ Titanium ขนาดใหญ่ พร้อมฟังก์ชันปรับระดับความดังของเสียงได้
- มีฝาปิดเครื่องยนต์ด้านหลังสีเดียวกับตัวรถ
- มีสปอยเลอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ Adaptive สีเดียวกับตัวรถ
- มีเสาอากาศครีบฉลามแบบ Shark Fin
- มีล้อแม็กซ์ Forged ดีไซน์ใหม่ ขนาด 20 นิ้ว
- มาพร้อมกับยาง Michelin รุ่น Pilot Sport Cup 2R
- มียางหน้าขนาด 245/35 ZR20 หน้ายางกว้าง 9 นิ้ว
- มียางหลังขนาด 305/35 ZR20 หน้ายางกว้าง 11 นิ้ว
- พร้อมจานเบรกแบบ Ceramic Carbon กับคาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมดขนาด 4,565 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทังหมด 1,958 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,191 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร
- มีระยะห่างช่วงล้อคู่หน้า 1,665 มิลลิเมตร
- มีระยะห่างช่วงล้อคู่หลัง 1,632 มิลลิเมตร
- มีความสูงจากพื้นถึงจุดต่ำสุด 100 มิลลิเมตร
- มีน้ำหนักตัวถังทั้งหมด 1,540 กิโลกรัม
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระ 200 ลิตร
- มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 65 ลิตร
- มีรัศมีองศาในการเลี้ยว 5.75 เมตร
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
Interior:ภายในรถยนต์
- ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทูโทน สามารถเลือกเฉดสีได้อย่างหลากหลาย และ Custom ได้อย่างอิสระ
- ใช้วัสดุตกแต่งภายในด้วยหนัง สลับ Alcantara
- ใช้วัสดุตกแต่งอุปกรณ์ด้านในด้วยสีดำเงา , สีเงินโครเมี่ยม และ ลายคาร์บอนไฟเบอร์
- มีไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบ Ambient Light
- บริเวณคอนโซลกลางตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
- มีกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงได้อัตโนมัติ
- มีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ และ หุ้มด้วย Alcantara
- มีชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full LCD Digital ที่มีฟังก์ชันรูปแบบการแสดงผลหลายรูปแบบ
- มีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift
- มีเกียร์อัตโนมัติแบบ ปุ่มกดสไตล์ Super Car
- มีปุ่ม Push Start บนพวงมาลัยด้านซ้าย
- มีกุญแจแบบ Keyless Go Entry
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ Traction Control
- มีปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง หรือ Lift Control
- มีปุ่ม Launch Control บนพวงมาลัยด้านขวา
- มีแป้นคันเร่ง และ เบรก แบบสปอร์ต พร้อมปุ่มยางกันลื่น
- มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ ซ้าย , ขวา ระบบสัมผัส
- มีช่องเชื่อมต่อ USB
- มีเบาะนั่งทั้งหมดหุ้มด้วยหนังสลับ Alcantara สามารถเลือกสีได้อย่างอิสระ
- มีสัญลักษณ์ม้าพยศ Ferrari ปักอยู่บนพนักพิงศีรษะ
- มีเบาะนั่งคู่หน้าสไตล์สปอร์ตแบบ Bucket Seat
- เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยระบบไฟฟ้า
- เบาะนั่งคู่หน้า มีระบบบันทึกตำแหน่ง Memory Seat
- เบาะนั่งคู่หน้า มีระบบดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support
- เบาะนั่งคู่หน้า มีระบบ Heater มาให้
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- มีชุดหน้าจอเครื่องเล่นแสดงผล บนหน้าจอมาตรวัด แยก ออกจาก ตัวบอกความเร็ว และ ตัวบอกการทำงานของระบบต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
- สามารถรองรับระบบ Apple Car Play และ Android Auto
- รองรับระบบเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth
- มีระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition
- มีระบบเสียงรอบทิศทางพร้อมลำโพง 12 ตัว
- มีช่องเชื่อมต่อ AUX
- มีช่องเชื่อมต่อ USB
- มีช่องเชื่อมต่อ HDMI
- มีช่องเชื่อมต่อ SD Card
- มีระบบเชื่อมต่อ Smart Phone เข้ากับตัวรถที่รองรับระบบต่าง ๆ ได้อีกมากมาย ดังนี้
- มีระบบ Emergency Call System เป็นระบบโทรช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
- มีระบบ Telediagnostics ช่วยวิเคราะห์สภาพของรถยนต์
- มีระบบ Remote Engine Start ช่วยสตาร์ทเครื่องยนต์ได้จากกุญแจรีโมท พร้อมสั่งงานให้เปิดระบบปรับอากาศได้ด้วย Smartphone
- มีระบบ Live Traffic Information ช่วยรายงานสภาพการจราจร
- มีระบบ ขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เครื่องยนต์รถยนต์ : Ferrari 296 GTS
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์ V6 เบนซิน Twin Turbocharged ขนาด 3.0 ลิตร 3,000 ซีซี 24 วาล์ว รหัส F163 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ใช้ลูกสูบขนาด 88 มิลลิเมตร กับ ระยะช่วงชัก 82 มิลลิเมตร ในอัตราส่วนกำลังอัด 9.4 : 1 สามารถเรียกพละกำลังสูงสุดได้ 663 แรงม้า แต่เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid จะได้พละกำลังเพิ่มมากขึ้นเป็น 830 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที กับ แรงบิดสูงสุด 740 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบ Dual Clutch รุ่น F1 DCT ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง พร้อมกับเฟืองท้ายแบบพิเศษ ส่วนตัวเลขสมรรถนะที่รถยนต์คันนี้ทำได้ มีดังนี้
- สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 2.9 วินาที
- สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 7.3 วินาที
- มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- สามารถทำความเร็วสูงสุดในโหมด EV ได้ 134 กิโลเมตร
- เมื่อใช้โหมดไฟฟ้าล้วน สามารถวิ่งได้ระยะทางมากที่สุด 25 กิโลเมตร
มีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้งหมด 6 รูปแบบ
- โหมด Comfrot
- โหมด EV
- โหมด Rain
- โหมด Sport
- โหมด Track
- โหมด Race
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
Frame & Suspension : โครงสร้างตัวถัง และ ช่วงล่าง
- ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ คาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อให้ตัวรถมีความแข็งแรงทนทาน รองรับแรงบิดตัวได้มาก และ มีน้ำหนักเบา เพื่อให้สมดุลกับพละกำลังเครื่องยนต์มากที่สุด
- มีระบบกันสะเทือนด้านหน้า และ ด้านหลัง แบบอิสระปีกนกคู่แบบ 2 ชั้น พร้อม คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และ โช๊คอัพเต็มรูปแบบ สามารถปรับรูปแบบการทำงาน และ ระดับความสูง ได้ด้วยระบบไฟฟ้า
- มีระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก ใช้จากเบรกแบบ Carbon Ceramic ขนาด 398 มิลลิเมตร หนา 38 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 Pots
- มีระบบห้ามล้อด้านหลังเป็นดิสก์เบรก ใช้จากเบรกแบบ Carbon Ceramic ขนาด 360 มิลลิเมตร หนา 32 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 Pots
Safety:ระบบความปลอดภัย
- มีระบบ EPS ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยตามความเร็วรถ
- มีระบบ ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้สม่ำเสมอกัน
- มีระบบ BA ช่วยเสริมแรงเบรกให้กับล้อทั้ง 4
- มีระบบ ESC ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว
- มีระบบ TRC ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถล และ ช่วยไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีโดยไม่จำเป็น
- มีระบบ ESS ช่วยเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้ทันทีเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ HSA ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- มีระบบ HDC ช่วยชะลอความเร็วรถยนต์ในเวลาลงทางลาดชัน
- มีระบบ TPLW ช่วยแจ้งเตือนเมื่อลมยางมีแรงดันที่ผิดปกติ
- มีระบบ Torque Vectoring ช่วยควบคุมแรงบิดให้กับตัวรถให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนความปลอดภัยสูงสุด
- มีระบบ FDE+ เวอร์ชั่นใหม่ ที่ตอนนี้สามารถเรียกใช้งานได้ทันทีเมื่อเข้า Race Mode จะช่วยปรับแรงดันน้ำมันเบรกให้ตัวคาลิปเปอร์ช่วยทำงานแบบอัตโนมัติในเวลาเข้าโค้ง โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรก
- มีระบบ ADAS โดยจะเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง ที่จะช่วยให้การขับในความเร็วสูงปลอดภัย และ ขับขี่ได้ง่ายมากขึ้น
- มีระบบ ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
- มีระบบ เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
- มีระบบ แจ้งเตือนการชนด้านหน้า พร้อมช่วยชะลอความเร็วให้อัตโนมัติ
- มีระบบ รายงานสภาพจราจร
- มีกล้องมองภาพจากมุมสูง
- มีกุญแจรีโมทแบบ Smart Keyless
- มีเซนเซอร์ช่วยวัดระยะในการจอบรอบคัน
- มีเซนเซอร์แจ้งเตือกวัตถุ หรือ รถ ในมุมอับสายตารอบคัน
- มีกล้องมองภาพรอบคันรถแบบ 360 องศา
- มีถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- มีม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมหัวเข่า 2 ตำแหน่ง
จุดเด่นของรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
สำหรับจุดเด่นของรถยนต์คันนี้ในส่วนแรกที่จะต้องพูดถึงจะเป็นในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ในรุ่นนี้จะมาในสไตล์รถยนต์ Super Car แบบเปิดประทุนหลังคาแข็ง ที่จะใช้วัสดุหลังคาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ที่นอกจากจะแข็งแรงทนทานแล้วยังช่วยให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงตามไปด้วย ส่วนดีไซน์การออกแบบตัวถังภายนอก และ ห้องโดยสารภายในก็จะมีรายละเอียดที่เหมือนกับในรุ่น Sport หลังคาแข็ง แต่จะมีรายละเอียดในเรื่องของ Aerodynamic ที่ดีกว่าเล็กน้อยจากรูปทรงของรถที่ต่างออกไป ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องขุมพลังเครื่องยนต์ กับสมรรถนะช่วงล่าง และ ระบบความปลอดภัย นั้นซึ่งก็จะมีสมรรถนะแบบเดียวกับในรุ่น 296 GTB
สรุปรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
สำหรับรถยนต์คันนี้จัดว่าเป็นรถยนต์ Super Car ที่มีราคาที่ถูกที่สุดสำหรับแบรนด์ Ferrari โดยเฉพาะในบ้านเราที่ในเวลานี้จะปรับลดราคาภาษีการนำเข้าของรถยนต์แบบ PHEV จึงทำให้รถยนต์คันนี้มีราคาที่ถูกกว่าใน Ferrari บ้างรุ่นทั้งที่ในความจริง ตระกูล 296 ทั้ง GTB และ GTS มีสมรรถนะสูงกว่ารถยนต์ Ferrari ในบางรุ่นที่มีราคาแพงกว่าด้วยซ้ำไป สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ Super Car ขุมพลัง PHEV ในเวลานี้ก็ต้องห้ามมองข้ามรถยนต์คันนี้เลย
รถยนต์ Ferrari 296 GTS สามารถเลือก Custom สีตัวถังได้อย่างอิสระ
ราคารถยนต์ : Ferrari 296 GTS
รถยนต์ Ferrari 296 GTS ราคา 21,900,000 บาท
Link ซื้อรถยนต์ : Ferrari 296 GTS
เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ Series ที่ร้อนแรงที่สุดจากแบรนด์ Ferrari ในเวลานี้เลย อย่าง Ferrari 296 GTS รถยนต์ Super Car ขุมพลัง Plug-In Hybrid โฉมเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุด กับพละกำลัง 830 แรงม้า คันนี้ กับในโฉมหลังคาแข็งเองก็ได้รับความสนใจมาก ๆ ไม่แพ้กัน เพราะด้วยการมาของเครื่องยนต์ V6 แบบ Plug-In Hybrid จาก Ferrari เป็นครั้งแรก แถมเมื่อนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว เมื่อหักลบกับจำนวนภาษีออกมาจะเห็นได้ว่าในรุ่นนี้ จะกลายเป็นรุ่นที่ถูกที่สุดของ Ferrari ไปเป็นที่เรียบร้อยในปัจจุบัน แถม ยังมีสมรรถนะสูงกว่าเครื่องยนต์สันดาบล้วน ที่ราคาแพงกว่าอีกด้วย และ สุดท้ายนี้ https://mywonderwheel.com/ ก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้ชมทุกท่านที่ได้เข้ามารับชมบทความของเราในครั้งนี้ ส่่วนในครั้งหน้าจะเป็นบทความเริ่องอะไร โปรดติดตามกันด้วยนะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ