ถ้าหากพูดถึงรถยนต์สำหรับนักสะสม ตั้งแต่รถแข่งในตำนานไปจนถึงสปอร์ตคาร์อันโดดเด่น คุณจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลหากอยากจะเก็บสะสมหนึ่งในรถที่แพงที่สุดที่เคยมีมาเอาไว้ในโรงรถสักคันหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารถคลาสสิกจะมีระดับราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่กัน คุณถึงจะสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์หายากพวกนี้ได้ ในบทความ 10 อันดับ รถยนต์ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการซื้อขายและการประมูลในท้องตลาดที่ถูกบันทึกเอาไว้ เรื่องนี้ ก็จะพาเพื่อน ๆ ไปดูเหล่ารถยนต์สุดคลาสสิค รุ่นที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีการประมูลซื้อขายมากันครับ ซึ่งจะมีรถยนต์รุ่นไหน ของแบรนด์อะไรบ้าง เราไปรับชมพร้อม ๆ กันเลย
10 อันดับ รถยนต์ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการซื้อขายและการประมูลในท้องตลาดที่ถูกบันทึกเอาไว้
รถยนต์ Jaguar D-Type
สำหรับรถยนต์ D-types นั้นถือว่าเป็นรถที่หายากมาตั้งผลิตกันเลย เพราะเป็นรถแข่งที่เพรียวลมคล่องตัวแบบ Streamlined ที่ผลิตโดย Jaguar นั้นมีจำนวนน้อยมาก รถคันนี้เป็นคันที่พิเศษมาก บางทีอาจจะเป็นตัวอย่างของแบบดั้งเดิมที่สุดที่ยังคงมีอยู่ Chassis XKD 501 คือเครื่องยนต์ที่คว้าชัยชนะอย่างราบคาบที่การแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ย้อนกลับไปเมื่อปี 1956 ถูกเก็บเข้าคอลเล็กชั่นส่วนตัวไปตั้งแต่ยุคการแข่งขันอันรุ่งเรือง ผู้ชนะการประมูลที่มอนเทอร์เรย์เมื่อปี 2016 และกลายมาเป็นเจ้าของคนที่สามนั่นเอง โดยราคาของรถยนต์ D Type คันล่าสุดที่ขายทอดตลาดออกไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท
รถยนต์ Aston Martin DP215
รถคลาสสิคสัญชาติอังกฤษ แบรนด์รถสปอร์ตเก่าแก่ที่มีความหรูหราและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ถือเป็นรถพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียวของ Aston Martin เพื่อใช้ลงแข่งที่ เลอม็อง (Le Mans) สนามแข่งรถเก่าแก่ในฝรั่งเศส ในปี 1963 ทำสถิติความเร็วสูงสุดไว้ที่ 198.6 ไมล์ หรือเกือบ 320 กม./ชั่วโมง และมีการนำมาซ่อมแซมใหม่ให้ยังคงโฉบเฉี่ยวไฉไลอย่างที่เห็นกัน มูลค่า 21.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 707 ล้านบาท
รถยนต์ Aston Martin DBR1
จากหนึ่งตำนานสู่อีกตำนาน Aston Martin แบบ Aerodynamic เป็นรถสัญชาติอังกฤษที่แพงที่สุดที่เคยขายมาในการประมูล รายชื่อของคนที่เคยขับ DBR1/1 นั่นเป็นระดับสุดยอดของวงการแข่งขันรถทั้งนั้น ทั้ง Stirling Moss, Jack Brabham, Carroll Shelby นี่คือผู้ชนะของการแข่งขัน Nürburgring 1,000 กิโลเมตร ในปี 1959 และ ยังสร้างความทึ่งบนถนนในทุกวันนี้และยังคงสิ่งที่สำคัญที่สุดแห่งช่วงเวลาเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำราคาขายอยู่ที่ 19.1 ล้านปอนด์ ในปี 2017 หรือประมาณ 712 ล้านบาท
รถยนต์ Ferrari 275 GTB/C Speciale
ถ้าพูดถึง Ferrari ความพิเศษด้วยชื่อ และความพิเศษโดยธรรมชาติ ที่รถยนต์คันนี้มากับตัวเครื่อง 275 แรงม้า ที่ห่อหุ้มด้วยงานบอดี้เวิร์กสำหรับรถแข่งที่ทำด้วยมือ ม้าศึกตัวผู้น้ำหนักเบาจากช่วงกลางของยุค 60 นี้คือหนึ่งในรถสามคันที่สร้างใน Le Mans ในปี 1964 และ มีตัว 250GT0 ตามออกมาและหายากไม่แพ้กัน ซึ่งจะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งนั่นอธิบายได้ดีเลยว่าทำไมบางคนถึงยอมจ่าย 21.8 ล้านปอนด์หรือประมาณ 691 ล้านบาท สำหรับสิทธิพิเศษที่จะได้เก็บเพชรเม็ดงามไว้ในโรงรถในปี 2014 ซึ่งในปัจจุบัน เจ้า 275 GTB/C คันล่าสุดที่ได้นำออกมาประมูลก็ได้มีคนปิดการขายไปในราคา 23.1 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 862 ล้านบาท กันเลย เพียงไม่กี่ปีราคาก็สามารถกระโดดขึ้นมาได้ขนาดนี้
รถยนต์ Ferrari 275 GTB/4*S NART Spider
Ferrari ไม่ได้เสนอรถเวอร์ชั่นเปิดประทุน Drop-Top ของ 275 GTB/4 ดังนั้นนักนำเข้ารถชื่อดังของสหรัฐอเมริกา Luigi Chinetti จึงติดต่อ Enzo Ferrari เพื่อนของเขา มีการมอบหมายงานให้กับ Sergio Scaglietti ในการทำตัวถังรถและทำตัวอย่างตามสั่งอีก 10 ชิ้นส่งออกไปทั่วสหรัฐ นี่เป็นการตกแต่งอย่างเหมาะสมพร้อมสัญลักษณ์ North American Racing Team ของ Chinetti หนึ่งในสิบชิ้นของตัว Chassis 10709 ถูกซื้อโดย Eddie Smith เจ้าม้าศึกคันงามนี้ทำลายสถิติการประมูลที่ราคา 24.5 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 913 ล้านบาท
รถยนต์ Ferrari 290 MM
Ferrari 290 MM คันนี้ได้เข้าแข่งขันใน Mille Miglia ในปี 1956 และเป็นหนึ่งในคันที่ขับโดย Fangio งานดังกล่าวคือตัวเดียวกับเพลารถ 0626 เร่งเข้าสู่ลำดับที่ 4 ในงานเฉลิมฉลองครั้งนั้น รถคันนี้ถูกครอบครองโดยคนอื่นมาก่อน ไม่เคยชนเลยสักครั้ง ทุกอย่างเป็นแบบดั้งเดิมทั้งหมด ผ่านคอลเล็กชั่นส่วนตัวมาเยอะมาก และปิดท้ายด้วยการขายในมูลค่า 24.6 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 917 ล้านบาท
รถยนต์ Mercedes-Benz W196
สำหรับรถยนต์คันนี้เป็นรุ่นที่สามารถสร้างความแตกต่างในธีมของ Fangio ได้ รถ Silver Arrow คันสวยทรงเพรียวลมแบบ Streamlined มีสถิติการขายที่ราคา 24.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 911 ล้านบาทที่ Goodwood ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 และนี่คือรถที่แพงที่สุดจากการประมูลที่ไม่ใช้ของ Ferrari ที่มีการใช้ขับโดยนักขับชาวอาร์เจนตินา และชนะ Grand Prix 2 ครั้ง ในฤดูกาลแข่งขันของปี 1954 เมอร์เซเดสที่หายากสุดๆ คันนี้ยังช่วยให้ Juan Manuel รักษาแชมป์โลกในปีนั้นได้เป็นครั้งที่สองด้วยมูลค่าล่าสุดของรถยนต์รุ่นนี้ จะอยู่ที่ราคา 26.5 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 988 ล้านบาท
รถยนต์ Ferrari 335S
รถยนต์รุ่นนี้ ผลิตขึ้นมาเพียง 4 คันในโลกเท่านั้น ถูกผลิตขึ้นในปี 1957 ดัดแปลงตัวถังโดยโค้ชบิลเดอร์ชื่อดังของอิตาลีอย่าง สกาเลียตติ (Carrozzaria Scaglietti) ในปี 1957 เพื่อให้มันเป็นรถแข่งโดยสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และใช้เครื่องยนต์ Tipo 140 แบบ V12 สูบ ทวินแคม ขนาด 3.8 ลิตร ให้กำลัง 360 แรงม้า สำหรับใช้ในสนามแข่งขัน ผ่านมือนักแข่งชื่อก้องโลกมาหลายสนาม ทั้งยังมีการซื้อขายเปลี่ยนมือในหมู่คนรักรถอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าทุกครั้งที่มีการซื้อขายออกไปก็จะต้องมีราคาสูงขึ้น โดยรถคันนี้ยังเป็นเจ้าของสถิติรถที่มีมูลค่าการประมูลสูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย ราคา ราคา 30.8 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 1,148 ล้านบาท
รถยนต์ Ferrari 250 GTO
รถคลาสสิคระดับตำนาน อันเป็นที่ต้องการและสำคัญที่สุดในโลก ด้วยเกร็ดประวัติอันยาวนาน นักแข่งดังหลายคนได้เคยขับรถคันนี้คว้าแชมป์มาก่อน และคันนี้ รุ่นปี 1962 เป็นคันที่ 3 ของจำนวนการผลิตทั้งหมดที่มีเพียง 36 คันในโลก เคยชนะรางวัลการแข่งขันมาหลากหลายสนาม ก่อนจะกลายมาเป็นคอลเลคชั่นของนักสะสมในเวลาต่อมา การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรถที่มีราคาแพงที่สุดในโลกนี้ เกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ 10 นาที เมื่อเจ้าของเดิมคือ ผู้บริหารบริษัทซอร์ฟแวร์ ซึ่งรักรถคลาสสิคและครอบครองรถคันนี้มานานถึง 16 ปี ตัดสินใจนำออกมาประมูลในที่สาธารณะในปี 2018 และมีผู้เคาะประมูลแข่งราคากันเพียง 3 รายเท่านั้น มูลค่า 48.40 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 1,596 ล้านบาท
รถยนต์ Mercedes-Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut Coupe’
Mercedes-Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut Coupe’ ถือเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสุดหายากจากช่วงปี 1950s ที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว และได้ร่วมการแข่งขันมากมายหลายรายการ ที่สำคัญกับ Stirling Moss ใช้คว้าแชมป์ 1955 Mille Miglia และแชมป์ Grand Prix racing จนได้ฉายาว่า “Silver Arrow” 300 SLR มีเพียง 2 คัน บนโลกเท่านั้น ถูกขายโดย Mercedes เอง โดยได้รับความร่วมมือกับ RM Sotherby’s ให้กับนักสะสมส่วนตัวที่ไม่ประสงค์ออกนาม ซึ่งรถยนต์คันนี้มีต้นแบบมาจาก รถแข่งรุ่น W196 คันด้านบนที่ถูกวิศวกรของ Rudolf Uhlenhaut นำเอา 300 SLR W196 จำนวน 2 คันมาดัดแปลงใหม่ โดยเอาตัวถังจาก SL มาปรับแต่งบน chassis ของ SLR ที่แต่เดิมเป็นรถเปิดประทุน มาดัดแปลงใหม่ด้วยการติดตั้งหลังคา Hardtop และประตูข้างแบบปีกนก (Gull-wing) สำหรับการแข่งขัน Endurance Racing หรือการแข่งขันระยะไกล (เช่น 24 Hours of Le Mans) การประมูลเริ่มต้นที่ 50 ล้านยูโร แต่ผ่านไปไม่กี่นาที ราคาของ 300 SLR Uhlenhaut Coupe ก็ไปอยู่ที่ 135 ล้านยูโร หรือราว ๆ 4,920 ล้านบาท ซึ่งทำให้เป็นรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการประมูลมา นอกจากนี้ Mercedes กล่าวว่าเงินจากการขายจะนำไปมอบให้กับกองทุนการกุศลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อมอบทุนการศึกษาด้านการศึกษาและการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอนสำหรับคนรุ่นใหม่
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับรถยนต์ทั้งหมดที่เราได้หยิบมานำเสนอกันใน บทความ 10 อันดับ รถยนต์ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการซื้อขายและการประมูลในท้องตลาดที่ถูกบันทึกเอาไว้ เรื่องนี้ ก็เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ที่นอกจากจะเป็นสุดยอดในแต่ละยุคสมัยแล้ว ยังมีเรื่องราว Story ที่ค่อนข้างสำคัญหลาย ๆ อย่างจนทำให้ราคานั้นกระโดดไปไกลมาก ๆ โดยเฉพาะเจ้า Mercedes-Benz 300 SLR ที่จะนำเงินจากการประมูลไปวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วยนั้น ยิ่งทำให้ราคาค่าตัวนั้นก้าวกระโดดแซงหน้า Ferrari 250 GTO ผู้ที่เป็นเจ้าของสถิติรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลกมาอย่างยาวนานได้ไปอย่างขาดลอยเลย