สำหรับแบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง McLaren ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่นอกจากจะทำรถยนต์สมรรถนะสูงแล้ว ยังชื่นชอบและเชีี่ยวชาญในการผลิตรถแข่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกมากอย่างยาวนาน และในครั้งนี้เพื่อสานฝันในการสร้างของเล่นคนรวยที่ขับได้จริง ด้วยการเปิดตัว McLaren P1 GTR รถยนต์ Hyper Car พลังงาน Hybrid แบบ Track Only ที่ผลิตมาใช้งานในสนามแข่งเท่านั้น คันนี้ ซึ่งเป็นรถแข่งสเป็คพิเศษจาก McLaren มาในบอดี้สีเหลืองตัดกับสีเขียว แบบเดียวกับในรถแข่ง McLaren F1 โดยจะเป็นรถแข่งที่มีตัวเลข ODO เป็น 0 มาจากโรงงาน ซึ่งจะถึงมือเจ้าของด้วยการเป็นมือ 1 แบบ 100% ให้คุณได้ขับเป็นคนแรกเท่านั้น และ รถยนต์คันนี้จะมีรายละเอียดกับสิ่งสำคัญทั้งหมดอย่างไรบ้าง เราไปรับชมกันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : McLaren P1 GTR
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับชุดแต่ง และ ชุดสติ๊กเกอร์แบบพิเศษรอบคัน ที่มีเฉพาะในรุ่น P1 GTR เท่านุ้น
- มีชุด Body Part เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน พร้อมยังช่วยเพิ่มในเรื่องของ Aero Dynamic ได้ดีมากกว่าเดิมได้เป็นเท่าตัว
- มีกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ใช้วัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีช่องรับอากาศด้านหน้าดีไซน์ใหม่ ตกแต่งขอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
- มีลิ้นใต้กันชนด้านหน้า แบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Winglets 2 ชั้น แบบคาร์บอนไฟเบอร์ด้านข้างของกันชนหน้า
- มีฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องดักอากาศบนฝากระโปรงเพื่อช่วยเสริม Aero Dynamic
- มีช่องรับอากาศด้านหน้าของโปร่งซุ้มล้อด้านหลัง เพื่อส่งตรงเข้าไปให้กับเครื่องยนต์และระบบอัดอากาศ
- มีไฟหน้าแบบ Matrix Adaptive LED ดีไซน์ใหม่ลักษณ์เดียวกับ Logo แบรนด์ McLaren
- มีไฟหรี่ Daytime Running Light แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED 3 มิติ
- มีกระจกมองข้างแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับลดแสงได้อัตโนมัติ
- กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว
- ตัวกระจกปรับองศาได้ด้วยระบบไฟฟ้า
- ใช้ประตูปีกนกแบบ Twin-Hinged Dihedral Doors
- มี Skirt ด้านข้างแบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Roof Scoop บนหลังคาช่วยดักอากาศที่รับจากด้านหน้า เพื่อส่งตรงเข้าห้องเครื่องโดยตรง
- มีกันชนด้านหลังดีไซน์ใหม่ใช้เป็นชิ้นเดียวคุมทั้งท้ายรถ เหมือนกับด้านหน้า
- มีช่องระบายอากาศบนกันชนท้ายแบบใหม่ ช่วยเสริม Aero Dynamic ให้กับตัวรถ
- มีดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับดีไซน์ให้อากาศจากใต้ท้องรถไหลผ่านได้ดีที่สุด
- มี Spoiler ด้านหลังแบบ Adaptive สามารถปรับองศาให้ยกขึ้น เพื่อช่วยเป็น Air Brake ในตัวได้
- มีชุดตะแกรงด้านหลังแบบรังผึ้งสีดำ เพื่อเปิดช่องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์
- มีท่อไอเสียเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบบออกกลาง
- มีไฟท้าย LED แบบ Light Gilding อยู่บริเวณด้านล่างของชุดกันชน
- มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ LED 3 มิติ
- มีหลังคาด้านหลัง หรือ แผ่นปิดห้องเครื่อง แบบคาร์บอนไฟเบอร์ผสมกับกระจก
- มีล้อแม็กซ์ Forged ดีไซน์ใหม่
- ล้อหน้า ขนาดวงล้อ 19 นิ้ว กว้าง 9 นิ้ว
- ล้อหลัง ขนาดวงล้อ 20 นิ้ว กว้าง 11.5 นิ้ว
- มีพร้อมกับยาง Pirelli รุ่น P-Zero
- ใข้ยางหน้าขนาด 275/30 ZR19
- ใช้ยางหลังขนาด 335/30 ZR20
- มาพร้อมกับจานเบรกเซรามิค และ คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ที่สามารถเลือกสีได้
- บริเวณบานประตูทั้ง 2 ด้านที่เห็นเป็นลวดลายสีดำ จริง ๆ แล้วจะเป็นกระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงเอาไว้ พร้อมตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์รุ่น GTR
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมด 4,588 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทั้งหมด 1,946 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,188 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร
- มีความสูงจากพื้นถึงจุดต่ำสุด 100 มิลลิเมตร
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งหมด 100 ลิตร
- มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 71 ลิตร
- มีน้ำหนักตัวถังเปล่าอยู่ที่ 1,395 กิโลกรัม
- มีน้ำหนักรวมทั้งหมด 1,490 กิโลกรัม
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : McLaren P1 GTR
Interior:ภายในรถยนต์
- ตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้านหน้าด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
- ตกแต่งแผงประตูด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
- มีพวงมาลัยแบบ Racing Virtual Cockpit สไตล์รถแข่ง ที่เหมือนถอดออกมาจากรถ F1
- มีปุ่มควบคุมต่าง ๆ บนพวงมาลัย ถูกย้ายไปอยู่บริเวณหัวเข่าทั้ง 2 ด้าน ของคนขับแทน
- มีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift
- มีชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT Full Digital ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันรูปแบบการทำงานได้อย่างหลากหลาย ตามโหมดการขับขี่ที่เลือก ซึ่งจะคอยบอกรายละเอียดทุก ๆ อย่างได้อย่างครบถ้วน
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ ซ้าย และ ขวา
- มีช่องแอร์ทรงกลมแบบคลาสสิค
- มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานของรถยนต์ได้ถึง 3 รูปแบบ ตั้งแต่
- Comfort
- Sport
- Track
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ Traction Control
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ ABS
- มีปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง หรือ Lift Control
- มีปุ่ม Push Start สไตล์สปอร์ตสีแดง
- มีปุ่ม Launch Control
- มีปุ่ม Aero ใช้ปรับองศาของสปอยเลอร์ตามความเร็วรถ
- มีเกียร์อัตโนมัติแบบปรับหมุ่น 3 ระดับ
- มีเบาะนั่งสไตล์ Racing Full Bucket Seat 2 ที่นั่งแบบทูโทน หุ้มด้วยAlcantara สามารถตกแต่งดีไซน์ได้หลากหลาย
- เบาะนั่งทั้งหมดปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า
- เบาะนั่งของ McLaren นั้นจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามาให้มากนัก หากเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ นั่นก็เพราะผู้ผลิตต้องการให้ผู้ขับได้เข้าถึงสัมผัสของรถแข่งได้มากที่สุด
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- สำหรับในรุ่นนี้จะไม่ได้ใส่ระบบความบันเทิงเข้ามาให้ เพราะจะได้สัมผัสกับการขับขี่ตรงหน้าได้มากที่สุด แถมยังช่วยลดน้ำหนักให้กับตัวรถลงได้มากอีกด้วย และ ถึงแม้จะใส่ระบบความบันเทิงเข้ามาให้ในรุ่นที่มีสมรรถนะแบบรถแข่งแบบนี้ เสียงเครื่องยนต์จะดังมากเป็นพิเศษทำให้ไม่เหมาะกับการขับไปด้วย และ ฟังเพลงไปด้วยแน่นอน
เครื่องยนต์รถยนต์ : McLaren P1 GTR
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซิน Twin Turbo , Dual VVT 32 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร 3,799 ซีซี ใช้เทอร์โบแบบ Twin Electrically-Actuated Twin Scroll Turbochargers Dry Sump พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าพลังงาน Hybrid และ ได้ปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ไส้ในใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ได้น้ำหนักเบาลง และ ทนทานต่อแรงม้าแรงบิดได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ได้พละกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 986 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 1,000 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง รองรับเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น และ มีตัวเลขจากโรงงานดังนี้
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 2.5 วินาที
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.3 วินาที
- มีความเร็วสูงสุด หรือ Top Speed อยู่ที่ 362 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- มีเวลา Quarter Mile ¼ หรือ สนามคลอง 5 บ้านเรา อยู่ที่ 9.8 วินาทีเท่านั้น
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 100 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 28 เมตร ในเวลา 2.8 วินาที
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 200 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 114 เมตร ในเวลา 4.5 วินาที
- มีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 194 กรัม ต่อ 1 กิโลเมตร
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : McLaren P1 GTR
Frame & Suspension : โครงสร้างตัวถัง และ ช่วงล่าง
- ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Monoclock Full Carbon Fibre เป็นการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ 100% ในการสร้างตัวถัง ทำให้ตัวโครงสร้างมีน้ำหนักเบา และ ทนทานมากเป็นพิเศษ ซึ่งน้ำหนักของโครงสร้างตัวถังในส่วนห้องโดยสารจะมีน้ำหนักเบามาก ๆ ช่วยให้รถคล่องตัวมากขึ้น
- มีระบบกันสะเทือนด้านหน้า และ ด้านหลัง เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ ที่มาพร้อมกับระบบ Proactive Damping Control ที่ช่วยปรับการทำงานตามสภาพพื้นถนน และ ลักษณะในการขับขี่ตามโหมดต่าง ๆ
- มีระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ พวงมาลัยพาวเวอร์กึ่งไฟฟ้า แบบ Electro-Mechanical Power Steering
- มีระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Carbon Ceramic ขนาด 390 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 Pot
- มีระบบห้ามล้อด้านหลังเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Carbon Ceramic ขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 Pot
- มีระบบเฟืองท้ายแบบ Racing Differential
- มีระบบบังคับเลี้ยวแบบพิเศษ
Safety:ระบบความปลอดภัย
- มีระบบ IPAS ช่วยสั่งการให้มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพละกำลังให้เครื่องยนต์ได้เร็ว และ มากขึ้น
- มีระบบ DRS ช่วยควบคุม Adaptive Spoiler ด้านหลัง เพื่อเสริมสมรรถนะได้หลากหลายรูปแบบ
- มีระบบ ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้สม่ำเสมอกัน
- มีระบบ BA ช่วยเสริมแรงเบรกให้กับล้อทั้ง 4
- มีระบบ CBC ช่วยควบคุมการกระจายแรงเบรกในขณะเข้าโค้ง
- มีระบบ DBC ช่วยควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน
- มีระบบ ESC ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว
- มีระบบ TRC ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถล และ ช่วยไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีโดยไม่จำเป็น
- มีระบบ DBL ช่วยเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้ทันทีเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ HSA ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- มีระบบ HDC ช่วยชะลอความเร็วรถยนต์ในเวลาลงทางลาดชัน
- มีระบบ TPLW ช่วยแจ้งเตือนเมื่อลมยางมีแรงดันที่ผิดปกติ
- มีระบบ Launch Control ช่วยล็อครอบในการออกตัว
- มีเซนเซอร์ตรวจจับรอบคันรถ
- มีถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- มีม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
จุดเด่นของรถยนต์ : McLaren P1 GTR
สำหรับรถยนต์คันนี้จะมีจุดเด่นอยู่ด้วยกันรอบคัน แต่ในส่วนแรกที่จะต้องพูดถึงเป็นในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ที่มาในดีไซน์แบบรถแข่งในสนามเต็มขั้น มีชุดแฟริ่ง และ Body Part รอบคันเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักที่เบามากกว่าเดิมในทุกสัดส่วน รวมไปถึงรายละเอียดของชุดแต่งรอบคันรถ ยังคอยช่วยเสริมให้รถมี Aerodynamic ที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ความเร็วสูงเข้าโค้งออกโค้งในสนามแข่ง ตัวรถจะทำได้นิ่งและเฉียบคมมาก ๆ ส่วนภายในห้องโดยสารเอง ก็จะใช้วัสดุต่าง ๆ เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องของขุมพลังที่ในรุ่นนี้แม้จะมากับเครื่องยนต์ Hybrid ตัวเดิม แต่ภายในของเครื่องยนต์ V8 ได้มีการปรับจูนไส้ในใหม่ ทำให้ได้พละกำลังแรงม้า และ แรงบิดที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงยังใช้ระบบช่วงล่างกับเทคโนโลยีความปลอดภัยในส่วนต่าง ๆ แบบเดียวกับพื้นฐานของรถแข่งสมรรถนะสูงที่นิยมใช้กันทั่วโลก รวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ได้รับมาจากแบรนด์ชั้นนำของวงการรถแข่งด้วยเช่นกัน
สรุปรถยนต์ : McLaren P1 GTR
สำหรับรถยนต์คันนี้ก็จะเป็นรถยนต์ Hyper Car แบบ Track Only ที่ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีที่ต้องการมีรถแข่งเป็นของตัวเองไว้ในครอบครองสักหนึ่งคัน โดยที่ไม่ต้องปั้นหรือลองผิดลองถูกใด ๆ ทาง McLaren จึงจัดทำและคำนวนออกมาให้ตั้งแต่ในโรงงานเลยว่ารถยนต์คันนี้จะมีสมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเลิศในสนามแข่งอย่างแน่นอน ซึ่งถูกผลิตออกมาในจำนวนจำกัดเพียง 58 คันเท่านั้น และยังสามารถ Custom สีของตัวถังรถได้อย่างอิสระ
McLaren P1 GTR มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 10 รูปแบบ
ราคารถยนต์ : McLaren P1 GTR
รถยนต์ McLaren P1 GTR ราคา 90,650,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้า)
Link ซื้อรถยนต์ : McLaren P1 GTR
https://bangkok.mclaren.com/en
หลักจากที่ได้เปิดตัวรถ Hyper Car พลังงานไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์อย่างรุ่น P1 ออกมา และ ได้จำหน่ายหมดก่อนเวลาที่กำหนด จึงทำให้กลุ่มลูกค้าคนสำคัญหลายคน พลาดโอกาศการจับจองเป็นเจ้าของกันไป ทางผู้ผลิตจึงเปิดตัว McLaren P1 GTR รถยนต์ Hyper Car พลังงาน Hybrid แบบ Track Only ที่ผลิตมาใช้งานในสนามแข่งเท่านั้น คันนี้ ที่เป็นรุ่นพิเศษออกมาสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้สนใจนำไปใช้บนท้องถนน แต่จะนำไปลงสนามเท่านั้น ออกมาอีก 58 คัน ในราคาที่ดูจะเหมาะสมกับมหาเศรษฐีเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร McLaren ก็ขายหมดในเวลาไม่นานอยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ร้อนแรงมาก ๆ ในปัจจุบันจริง ๆ สำหรับ McLaren ที่ไม่ว่าจะปล่อยรุ่นไหนออกมา ก็จะมียอดจองที่เต็มจำนวนในเวลารวดเร็วทุกครั้ง ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันว่าหลังจากที่บริษัทได้สร้างกำไรมหาศาลในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จะทำให้ McLaren กับมาทวงบัลลังก์ความแรงได้หรือไม่ สำหรับวันนี้ https://mywonderwheel.com/ ก็ต้องขอตัวลาไปก่อน ส่วนในครั้งหน้าเราจะนำรถยนต์รุ่นอะไรมานำเสนอให้ทุกท่านได้รับชมกันอีก โปรดติดตามกันด้วยนะครับ