สำหรับในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นยุคของพลังงานไฟฟ้าจริง ๆ ที่ในตอนนี้เทคโนโลยีแบบ Hybrid ได้ครอบคลุมไปในรถยนต์ทุกรูปแบบแล้ว ไม่เว้นแต่รถยนต์ Super Car สมรรถนะสูง ที่เหล่าบรรดาค่ายยักษ์ใหญ่ค่ายต่าง ๆ ก็นำระบบนี้เข้ามาใช้กับรถยนต์ Super Car ของตัวเองกันบ้างแล้ว ซึ่งทาง McLaren เองก็ไม่รอช้าที่จะเปิดตัว McLaren P1 รถยนต์ Hyper Car ขุมพลัง Hybrid คันแรกของแบรนด์ ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมันในคันเดียว คันนี้ ให้ทุกคนได้จับจองเป็นเจ้าของกันแล้ว สำหรับรถยนต์คันนี้จะมีดีไซน์การออกแบบที่คล้ายกับรุ่น 720s แต่จะ Sport ดุดันมากกว่าในทุกมิติ และ มาพร้อมกับขุมพลังแบบ V8 เบนซินทวินเทอร์โบขนาด 3.8 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hybrid จึงทำให้มีพละกำลังที่สูงมากขึ้นเป็น 900 แรงม้า กับ แรงบิดอีก 900 นิวตันเมตร ที่สามารถเรียกใช้งานได้ตั้งแต่ในรอบต่ำ และ ยังมาพร้อมกับสมรรถนะช่วงล่าง กับ เทคโนโลยีจากในสนามแข่งของแบรนด์เข้ามาใช้ ซึ่งรถยนต์คันนี้ จะมีรายละเอียดทั้งหมดอย่างไรบ้าง เราไปรับชมกันเลยครับ
ดีไซน์ภายนอกรถยนต์ : McLaren P1
Exterior:ภายนอกของรถยนต์
- มีกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ใช้เป็นชิ้นเดียวกับตัวรถ
- มีช่องรับอากาศด้านหน้า ตกแต่งขอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
- มีลิ้นใต้กันชนด้านหน้า แบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Winglets คาร์บอนไฟเบอร์ด้านข้างของกันชนหน้า
- มีฝากระโปรงหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องดักอากาศบนฝากระโปรงเพื่อช่วยเสริม Aero Dynamic
- มีสัญลักษณ์ McLaren บนฝากระโปรงด้านหน้า
- มีช่องรับอากาศด้านหน้าของโปร่งซุ้มล้อด้านหลัง เพื่อส่งตรงเข้าไปให้กับเครื่องยนต์และระบบอัดอากาศ
- มีไฟหน้าแบบ Matrix Adaptive LED ดีไซน์ใหม่ลักษณ์เดียวกับ Logo แบรนด์ McLaren
- มีไฟหรี่ Daytime Running Light แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED 3 มิติ
- มีกระจกมองข้างแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับลดแสงได้อัตโนมัติ
- กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว
- ตัวกระจกปรับองศาได้ด้วยระบบไฟฟ้า
- ใช้ประตูปีกนกแบบ Twin-Hinged Dihedral Doors
- มี Skirt ด้านข้างแบบคาร์บอนไฟเบอร์
- มีหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์
- มี Roof Scoop บนหลังคาช่วยดักอากาศที่รับจากด้านหน้า เพื่อส่งตรงเข้าห้องเครื่องโดยตรง
- มีกันชนด้านหลังดีไซน์ใหม่ใช้เป็นชิ้นเดียวคุมทั้งท้ายรถ เหมือนกับด้านหน้า
- มีช่องระบายอากาศบนกันชนท้ายแบบใหม่ ช่วยเสริม Aero Dynamic ให้กับตัวรถ
- มีดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับดีไซน์ให้อากาศจากใต้ท้องรถไหลผ่านได้ดีที่สุด
- มี Spoiler ด้านหลังแบบ Adaptive สามารถปรับองศาให้ยกขึ้น เพื่อช่วยเป็น Air Brake ในตัวได้
- มีชุดตะแกรงด้านหลังแบบรังผึ้งสีดำ เพื่อเปิดช่องระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์
- มีท่อไอเสียเดี่ยวดีไซน์ใหม่แบบออกกลาง
- มีไฟท้าย LED แบบ Light Gilding อยู่บริเวณด้านล่างของชุดกันชน
- มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
- มีไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ LED 3 มิติ
- มีหลังคาด้านหลัง หรือ แผ่นปิดห้องเครื่อง แบบคาร์บอนไฟเบอร์ผสมกับกระจก
- มีล้อแม็กซ์ Forged ดีไซน์ใหม่
- ล้อหน้า ขนาดวงล้อ 19 นิ้ว กว้าง 9 นิ้ว
- ล้อหลัง ขนาดวงล้อ 20 นิ้ว กว้าง 11.5 นิ้ว
- มีพร้อมกับยาง Pirelli รุ่น P-Zero
- ใข้ยางหน้าขนาด 245/35 ZR19
- ใช้ยางหลังขนาด 315/30 ZR20
- มาพร้อมกับจานเบรกเซรามิค และ คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ที่สามารถเลือกสีได้
- บริเวณบานประตูทั้ง 2 ด้านที่เห็นเป็นลวดลายสีดำ จริง ๆ แล้วจะเป็นกระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงเอาไว้ ถ้ามองจากด้านในจะใส่มองเห็นพื้นถนนได้อย่างชัดเจน ทำให้สัมผัสได้ถึงเข้าเร็วของรถมากขึ้น
Dimension:มิติตัวถังรถ
- มีความยาวทั้งหมด 4,588 มิลลิเมตร
- มีความกว้างทั้งหมด 2,144 มิลลิเมตร
- มีความสูงทั้งหมด 1,188 มิลลิเมตร
- มีระยะฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร
- มีความสูงจากพื้นถึงจุดต่ำสุด 100 มิลลิเมตร
- มีพื้นที่เก็บสัมภาระทั้งหมด 150 ลิตร
- มีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 71 ลิตร
- มีน้ำหนักตัวถังเปล่าอยู่ที่ 1,395 กิโลกรัม
- มีน้ำหนักรวมทั้งหมด 1,490 กิโลกรัม
ดีไซน์ภายในรถยนต์ : McLaren P1
Interior:ภายในรถยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ หรือ สีทูโทน และ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้วัสดุส่วนไหนเป็นหนัง หรือ Alcantara สามารถ Custom ได้หลากหลายอิสระ
- ตกแต่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้านในด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์รอบคัน พร้อมลวดลานตามสี และ ตำแหน่งที่เลือก
- ตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้านหน้าด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
- ตกแต่งแผงประตูด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
- มีพวงมาลัยแบบ 3 ก้านสไตล์สปอร์ต ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ โดยจะเป็นพวงมาลัยที่ไม่มีปุ่มอะไรเลยซึ่งเป็นเสน่ห์อีกแบบที่ Mclaren
- มีปุ่มควบคุมต่าง ๆ บนพวงมาลัย ถูกย้ายไปอยู่บริเวณหัวเข่าทั้ง 2 ด้าน ของคนขับแทน
- มีแป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift
- มีชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT Full Digital ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันรูปแบบการทำงานได้อย่างหลากหลาย ตามโหมดการขับขี่ที่เลือก ซึ่งจะคอยบอกรายละเอียดทุก ๆ อย่างได้อย่างครบถ้วน
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระ ซ้าย และ ขวา
- มีช่องแอร์ทรงกลมแบบคลาสสิค
- มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานของรถยนต์ได้ถึง 3 รูปแบบ ตั้งแต่
- Comfort
- Sport
- Track
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ Traction Control
- มีปุ่มปรับโหมดการทำงานของ ABS
- มีปุ่มปรับระดับความสูงของช่วงล่าง หรือ Lift Control
- มีปุ่ม Push Start สไตล์สปอร์ตสีแดง
- มีปุ่ม Launch Control
- มีปุ่ม Aero ใช้ปรับองศาของสปอยเลอร์ตามความเร็วรถ
- มีเกียร์อัตโนมัติแบบปรับหมุ่น 3 ระดับ
- มีเบาะนั่งสไตล์ Sport Bucket Seat 2 ที่นั่งแบบทูโทน หุ้มด้วยหนัง สลับ Alcantara สามารถตกแต่งได้หลากหลาย
- เบาะนั่งทั้งหมดปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า
- เบาะนั่งของ McLaren นั้นจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามาให้มากนัก หากเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ นั่นก็เพราะผู้ผลิตต้องการให้ผู้ขับได้เข้าถึงสัมผัสของรถแข่งได้มากที่สุด
Entertainment:ระบบความบันเทิง
- มีชุดหน้าจอเครื่องเล่นแบบ LCD ระบบสัมผัส Touchscreen แนวตั้ง
- รองรับวิทยุ FM/AM CD/DVD และ MP3
- มีระบบเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth
- รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto
- มีช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX
- มีระบบนำทาง Navigation System
- มีลำโพง 8 ตำแหน่ง จาก Bowers & Wilkins
เครื่องยนต์รถยนต์ : McLaren P1
Engine:เครื่องยนต์
- สำหรับในรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์แบบ V8 เบนซิน Twin Turbo ขนาด 3.8 ลิตร 3,799 ซีซี ใช้เทอร์โบแบบ Twin Electrically-Actuated Twin Scroll Turbochargers Dry Sump พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าพลังงาน Hybrid ซึ่งทำให้เรียกพละกำลังสูงสุดได้มากถึง 903 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 900 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง รองรับเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น และ มีตัวเลขจากโรงงานดังนี้
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 2.8 วินาที
- มีอัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.8 วินาที
- มีความเร็วสูงสุด หรือ Top Speed อยู่ที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- มีเวลา Quarter Mile ¼ หรือ สนามคลอง 5 บ้านเรา อยู่ที่ 10.2 วินาทีเท่านั้น
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 100 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 30 เมตร ในเวลา 2.9 วินาที
- มีระยะเบรกจากความเร็ว 200 กิโลเมตร ถึง 0 อยู่ที่ 116 เมตร ในเวลา 4.6 วินาที
- มีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 194 กรัม ต่อ 1 กิโลเมตร
ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ : McLaren P1
Frame & Suspension : โครงสร้างตัวถัง และ ช่วงล่าง
- ใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Monoclock Full Carbon Fibre เป็นการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ 100% ในการสร้างตัวถัง ทำให้ตัวโครงสร้างมีน้ำหนักเบา และ ทนทานมากเป็นพิเศษ ซึ่งน้ำหนักของโครงสร้างตัวถังในส่วนห้องโดยสารจะมีน้ำหนักเบามาก ๆ ช่วยให้รถคล่องตัวมากขึ้น
- มีระบบกันสะเทือนด้านหน้า และ ด้านหลัง เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ ที่มาพร้อมกับระบบ Proactive Damping Control ที่ช่วยปรับการทำงานตามสภาพพื้นถนน และ ลักษณะในการขับขี่ตามโหมดต่าง ๆ
- มีระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ พวงมาลัยพาวเวอร์กึ่งไฟฟ้า แบบ Electro-Mechanical Power Steering
- มีระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 390 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 Pot
- มีระบบห้ามล้อด้านหลังเป็น ดิสก์เบรก ใช้จานเบรกแบบ Ceramic ขนาด 380 มิลลิเมตร พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 Pot
Safety:ระบบความปลอดภัย
- มีระบบ IPAS ช่วยสั่งการให้มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพละกำลังให้เครื่องยนต์ได้เร็ว และ มากขึ้น
- มีระบบ DRS ช่วยควบคุม Adaptive Spoiler ด้านหลัง เพื่อเสริมสมรรถนะได้หลากหลายรูปแบบ
- มีระบบ Launch Control ช่วยล็อครอบในการออกตัว
- มีระบบ ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อคเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้สม่ำเสมอกัน
- มีระบบ BA ช่วยเสริมแรงเบรกให้กับล้อทั้ง 4
- มีระบบ ESC ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว
- มีระบบ TRC ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นไถล และ ช่วยไม่ให้ล้อหลังหมุนฟรีโดยไม่จำเป็น
- มีระบบ DBL ช่วยเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้ทันทีเมื่อเบรกกะทันหัน
- มีระบบ HSA ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
- มีระบบ HDC ช่วยชะลอความเร็วรถยนต์ในเวลาลงทางลาดชัน
- มีระบบ TPLW ช่วยแจ้งเตือนเมื่อลมยางมีแรงดันที่ผิดปกติ
- มีเซนเซอร์ตรวจจับรอบคันรถ
- มีถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง
- มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- มีม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
จุดเด่นของรถยนต์ : McLaren P1
สำหรับจุดเด่นของรถยนต์คันนี้ส่วนแรกที่ต้องพูดถึงจะเป็นในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ถึงแม้ในรุ่นนี้จะมาหน้าตาที่ดูคล้ายกับ McLaren รุ่นอื่น ๆ แต่เมื่อจอดเทียบกันจะสามารถแยกออกได้อย่างชัดเจน ในรุ่นของ P1 จะมีรายละเอียดของมิติตัวถังที่แตกต่างจากรถ Super Car ทั่วไปมาก ทั้งในเรื่องขนาดความสูงของตัวรถ กับความสูงจากพื้น ที่รถคันนี้นั้นเตี้ยเอามาก ๆ และ ยังมากับช่วงท้ายที่ยาวมากกว่ารุ่นอื่นในช่วงเวลานั้น บวกกับ Spoiler แบบ Adaptive จะช่วยให้รถคันนี้ดูมีมิติที่พร้อมพุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าแรง ส่วนต่อมาจะเป็นในเรื่องของขุมพลัง ซึ่งก็อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนว่าในรุ่นนี้จะเป็น McLaren คันแรกที่ได้นำระบบไฟฟ้าแบบ Hybrid เข้ามาใช้ร่วมกับเครื่องยนต์ แถมยังให้ผลตอบรับที่ดีด้วย เพราะจากเครื่องยนต์ตัวเดิมที่เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังแรงม้า และ แรงบิดที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน และ ในส่วนของระบบความปลอดภัยเองในรุ่นนี้ก็เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มไปกับอุปกรณ์และเทคโนโลยีใส่เข้ามาให้มากมาย ซึ่งล้วนแต่จะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในสนามแข่งด้วยกันทั้งสิ้น
สรุปรถยนต์ : McLaren P1
สำหรับรถยนต์ McLaren P1 ก็จะเป็นรถยนต์ Hyper Car ที่อยู่ในคลาส Ultimate ของแบรนด์ ซึ่งได้ถูกผลิตมาเพียงจำนวน 375 คันเท่านั้น และ วางจำหน่ายหมดไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ในช่วงปีแรกที่ผลิตออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี P1 โฉมใหม่ออกมา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยที่ไม่ว่าจะทั้งสงคราม และ ในเรื่องของโรคระบาด ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นมามากมาย หากเปิดตัว หรือ ปล่อยรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาแบบไม่ยั้งคิด อาจจะส่งผลเสียและไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีแบบที่คาดก็ได้ ดังนั้นใครที่กำลังรอ P1 โฉมใหม่อยู่ก็อดใจรอกันอีกสัก ปี 2 ปี เผื่อเราจะได้เห็นรุ่นใหม่ของ McLaren ที่ยอดเยี่ยมกว่า P1 คันนี้ก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรรถยนต์รุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ๆ อีกหนึ่งรุ่นจนต้องผลิตรุ่นย่อยออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า อยู่หลายรุ่น
รถยนต์ McLaren P1 มีทั้งหมด 36 สี
ราคารถยนต์ : McLaren P1
รถยนต์ McLaren P1 ราคา 36,000,000 บาท (ไม่รวมภาษีนำเข้า)
Link ซื้อรถยนต์ : McLaren P1
https://bangkok.mclaren.com/en
หลังจากที่คู่แข่งในตลาดรถยนต์ Hyper Car อย่าง Ferrari ได้เปิดตัวรถยนต์ Hyper Car ขุมพลัง Hybrid รุ่นแรงของแบรนด์อย่าง LaFerrari ออกมา จึงทำให้ McLaren ไม่รอบช้าที่จะเปิดตัว McLaren P1 รถยนต์ Hyper Car ขุมพลัง Hybrid คันแรกของแบรนด์ ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมันในคันเดียว คันนี้ ออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็น Hyper Car ที่มีระดับราคาถูกกว่าในรุ่นของคู่แข่งเป็นเท่าตัว โดยมากับตัวเลขสมรรถนะที่สูงและยังประหยัดพลังงานในคันเดียว มากับขุมพลัง 900 แรงม้าแต่กลับมาระยะทางสูงสุดต่อน้ำมันหนึ่งถังที่ใช้งานได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตรเลย ถือว่าเป็น Super Car ที่ดูจะประหยัดเป็นอันดับต้น ๆ ของรถยนต์ประเภทนี้เลย